หะดิษ

หะดิษ
หะดิษต่างๆ

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

บันทึกบุคอรี ว่าด้วยการงานที่ได้รับตามเจตนาที่ตนขวนขวาย




عَنْ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ـ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ – عَلى المِنْبَرِ يَقُوْلُ سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ  ‏"‏ إِنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ اِلَى دُنْيَا يُصِيْبُهَا أَوْاِلَى اِمْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ اِلَى مَا هَاجَرَ اِلَيْهِ




     ท่านอุมัร อิบนุลค๊อต๊อบ (ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงเมตตาท่านด้วย) ได้กล่าวขณะอยู่บนมิมบัรว่า 


          "ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา และทุกคนจะได้รับตามที่เขาเจตนา ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขามีเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนทางดุนยา หรือเพื่อแต่งงานกับหญิงใด  การอพยพของเขาก็ได้รับผลดังที่เขาตั้งใจอพยพไปเพื่อสิ่งนั้น" 

บุคคอรี/หมวดที่1/บทที่1/ฮะดีษเลขที่1

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยอัลลฮ์จะกีดกันพวกทำสิ่งใหม่ในศาสนาจากแม่น้ำอัลเกาษัร




حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ حُجْرٍ السَّعْدِيُّ، حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، أَخْبَرَنَا الْمُخْتَارُ بْنُ فُلْفُلٍ، عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، حوَحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، - وَاللَّفْظُ لَهُ - حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ مُسْهِرٍ، عَنِ الْمُخْتَارِ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ بَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ذَاتَ يَوْمٍ بَيْنَ أَظْهُرِنَا إِذْ أَغْفَى إِغْفَاءَةً ثُمَّ رَفَعَ رَأْسَهُ مُتَبَسِّمًا فَقُلْنَا مَا أَضْحَكَكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ أُنْزِلَتْ عَلَىَّ آنِفًا سُورَةٌ ‏"‏ ‏.‏ فَقَرَأَ ‏"‏ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ ‏{‏ إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ * فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ * إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الأَبْتَرُ‏}‏ ‏"‏ ‏.‏ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ أَتَدْرُونَ مَا الْكَوْثَرُ ‏"‏ ‏.‏ فَقُلْنَا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَإِنَّهُ نَهْرٌ وَعَدَنِيهِ رَبِّي عَزَّ وَجَلَّ عَلَيْهِ خَيْرٌ كَثِيرٌ هُوَ حَوْضٌ تَرِدُ عَلَيْهِ أُمَّتِي يَوْمَ الْقِيَامَةِ آنِيَتُهُ عَدَدُ النُّجُومِ فَيُخْتَلَجُ الْعَبْدُ مِنْهُمْ فَأَقُولُ رَبِّ إِنَّهُ مِنْ أُمَّتِي ‏.‏ فَيَقُولُ مَا تَدْرِي مَا أَحْدَثَتْ بَعْدَكَ ‏"‏ ‏.‏ زَادَ ابْنُ حُجْرٍ فِي حَدِيثِهِ بَيْنَ أَظْهُرِنَا فِي الْمَسْجِدِ ‏.‏ وَقَالَ ‏"‏ مَا أَحْدَثَ بَعْدَكَ ‏"‏  




             อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า ขณะที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อยู่กับพวกเราในวันหนึ่ง ท่านได้งีบหลับไปชั่วครู่ หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้นมาแล้วยิ้ม พวกเราถามว่า อะไรทำให้ท่านหัวเราะหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า ซูเราะห์หนึ่งได้ถูกประทานลงมาให้ฉันสักครู่นี่เอง แล้วท่านก็อ่าน บิสมิ้ลลาฮิรเราะห์มานนิรร่อฮีม อินนาอะอ์ฏอยนากัลเกาษัร ฟะศ็อลลิลิร๊อบบิก่าวันฮัร อินน่าซานิอะกะฮุวัลอับตั  หลังจากนั้นท่านได้ถามว่า พวกเจ้าทั้งหลายรู้ไหมว่า อัลเกาษัร คืออะไร พวกเราตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านกล่าวว่า มันคือแม่น้ำซึ่งองค์อภิบาลของฉันผู้ทรงเกียรติและสูงส่งสัญญาจะมอบให้แก่ฉัน ซึ่งมีความดีอย่างมากมาย มันคือแหล่งน้ำที่ประชาชาติของฉันจะกลับไปพบกับฉันในวันกิยามะห์ ณ.ที่นี้ ภาชนะของมันมีจำนวนเท่ากับดวงดาว ขณะนั้นจะมีคนกลุ่มหนึ่งถูกกันออกจากพวกเขา (ไม่ให้เข้ามาหาฉันที่แหล่งน้ำ) ดังนั้นฉันจึงกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันพวกเขาคือประชาชาติของฉัน พระองค์กล่าวว่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใหม่ในศาสนาหลังจากเจ้าจากพวกเขามา
                อิบนุฮุจริน ได้รายงานโดยมีข้อความเพิ่มเติมในฮะดีษของเขาว่า  ในขณะที่ท่านรอซูลอยู่กับพวกเราในมัสยิด และข้อความที่ว่า สิ่งใหม่ในศาสนาที่พวกเขากระทำหลังจากเจ้าจากพวกเขามา

มุสลิม/หมวดที่4/บทที่14/ฮะดีษเลขที่ 0790

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการกล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ของผู้หน้าไหว้หลังหลอก



عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، قَالَ حَدَّثَنِي مَحْمُودُ بْنُ الرَّبِيعِ، عَنْ عِتْبَانَ بْنِ مَالِكٍ، قَالَ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فَلَقِيتُ عِتْبَانَ فَقُلْتُ حَدِيثٌ بَلَغَنِي عَنْكَ قَالَ أَصَابَنِي فِي بَصَرِي بَعْضُ الشَّىْءِ فَبَعَثْتُ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَنِّي أُحِبُّ أَنْ تَأْتِيَنِي فَتُصَلِّيَ فِي مَنْزِلِي فَأَتَّخِذَهُ مُصَلًّى - قَالَ - فَأَتَى النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم وَمَنْ شَاءَ اللَّهُ مِنْ أَصْحَابِهِ فَدَخَلَ وَهُوَ يُصَلِّي فِي مَنْزِلِي وَأَصْحَابُهُ يَتَحَدَّثُونَ بَيْنَهُمْ ثُمَّ أَسْنَدُوا عُظْمَ ذَلِكَ وَكِبْرَهُ إِلَى مَالِكِ بْنِ دُخْشُمٍ قَالُوا وَدُّوا أَنَّهُ دَعَا عَلَيْهِ فَهَلَكَ وَوَدُّوا أَنَّهُ أَصَابَهُ شَرٌّ ‏.‏ فَقَضَى رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الصَّلاَةَ وَقَالَ ‏"‏ أَلَيْسَ يَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنِّي رَسُولُ اللَّهِ ‏"‏ ‏.‏ قَالُوا إِنَّهُ يَقُولُ ذَلِكَ وَمَا هُوَ فِي قَلْبِهِ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ لاَ يَشْهَدُ أَحَدٌ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنِّي رَسُولُ اللَّهِ فَيَدْخُلَ النَّارَ أَوْ تَطْعَمَهُ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أَنَسٌ فَأَعْجَبَنِي هَذَا الْحَدِيثُ فَقُلْتُ لاِبْنِي اكْتُبْهُ فَكَتَبَهُ ‏.‏                   


               ชัยบาน บินฟุรูค รายงานว่า สุไลมาน หมายถึงอิบนุลมุฆีเราะห์ ได้กล่าวว่า ษาบิต ได้เล่าให้เราฟังจาก อนัส บินมาลิก ว่า มะห์มูด อิบนุ้ลรอเบียะอ์ ได้เล่าให้ฉันฟังโดยนำมาจาก อิตบาน บินมาลิก                            มะห์มูด กล่าวว่า  ฉันไปที่นครมะดีนะห์ และได้พบกับอิตบาน ฉันจึงกล่าวว่า ฮะดีษบทหนึ่งที่ท่านรายงานมีมาถึงฉัน (ซึ่งฉันอยากได้ยินมันจากปากของท่านเอง ฉันจึงได้มาพบท่านที่นครมะดีนะห์นี้) เขา (อิตบาน) กล่าวว่า สายตาของฉันพร่ามัวไม่อาจเห็นสิ่งใดได้ดังปกติ, (ในบางรายงานกล่าวว่า อิตบานเป็นคนตาบอด และเป็นผู้นำในกลุ่มชนของเขา)  ฉะนั้นฉันจึงส่งข้อความไปยังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ฉันปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะมาหาฉันและละหมาดที่บ้านของฉันสักครั้งหนึ่ง เพื่อว่าฉันจะได้เอาสถานที่ตรงนั้นเป็นที่ละหมาด เขากล่าวว่า  แล้วท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็มาที่บ้านของฉันจริงๆ พร้อมกับศอฮาบะห์ ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ ท่านได้เข้าไปข้างในและละหมาดภายในบ้านของฉันพร้อมกับศอฮาบะห์ของท่าน  พวกเขา (เหล่าศอฮาบะห์) ได้สนทนากัน (ขณะนั้นท่านรอซูลยังคงละหมาดอยู่)  โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงพฤติกรรมของ มาลิก บินดุคชุม (ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาพวกหน้าไหว้หลังหลอก และอยู่ในกลุ่มชนของอิตบานด้วย)  พวกเขา (เหล่าศอฮาบะห์) ได้กล่าววิพากษ์กันไปต่างๆนานา บ้างก็อยากให้ท่านนบีสาปแช่งเขา, เพื่อเขาจะได้พินาศ และบ้างก็ว่า อยากให้เขาประสบกับความวิบัติ (เนื่องจากทนพฤติกรรมเลวร้ายของเขาไม่ไหว)   หลังจากที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เสร็จจากละหมาด ท่านก็กล่าวว่า เขา (มาลิก บินดุคชุม) มิได้ปฏิญาณหรือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และฉันคือศาสนทูตของอัลลอฮ์  พวกเขาตอบว่า ใช่ ! เขากล่าวคำปฏิญาณ  แต่มันไม่ได้ออกจากหัวใจ (ที่ศรัทธามั่น) ท่านกล่าวว่า  ไม่มีผู้ใดที่กล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และฉันเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ จะเข้านรกหรือเป็นเหยื่อของไฟนรก


                 อนัสได้กล่าวว่า  ฮะดีษนี้ทำให้ฉันประทับใจมาก ฉันจึงบอกกับลูกชายฉันว่า บันทึกฮะดีษนี้ไว้ แล้วลูกชายของฉันก็บันทึกมันไว้ 

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่12/ฮะดีษเลขที่ 0052

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการให้ต่อสู้กับผู้คุกคามอิสลาม



عَنِ ابْنِ شِهَابٍ، قَالَ حَدَّثَنِي سَعِيدُ بْنُ الْمُسَيَّبِ، أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ، أَخْبَرَهُ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَقُولُوا لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ فَمَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ عَصَمَ مِنِّي مَالَهُ وَنَفْسَهُ إِلاَّ بِحَقِّهِ وَحِسَابُهُ عَلَى اللَّهِ ‏"‏ ‏.‏  


                อิบนุซิฮาบ ได้รายงานว่า  สะอี๊ด อิบนุลมุซัยยับ ได้เล่าให้เขาฟังว่า อบูฮุรอยเราะห์ ได้บอกกับเขาว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  ฉันถูกใช้ให้ต่อสู้กับคน (ที่เป็นภัยคุกคาม ) นอกจากพวกเขาจะกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และผู้ใดได้กล่าวคำว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  ก็ได้รับสิทธิคุ้มครองจากฉันซึ่งทรัพย์ของเขา,ชีวิตของเขา, และบัญชี (รางวัลแห่งการตอบแทน) ของเขาอยู่ ณ.พระองค์อัลลอฮ์

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่10/ฮะดีษเลขที่ 0030

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการกอดจูบภริยาขณะมีประจำเดือนโดยไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง



عَنْ عَائِشَةَ، قَالَتْ كَانَ إِحْدَانَا إِذَا كَانَتْ حَائِضًا أَمَرَهَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَنْ تَأْتَزِرَ فِي فَوْرِ حَيْضَتِهَا ثُمَّ يُبَاشِرُهَا ‏.‏ قَالَتْ وَأَيُّكُمْ يَمْلِكُ إِرْبَهُ كَمَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَمْلِكُ إِرْبَهُ 




                 ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า เมื่อคนใดในหมู่พวกเรา (บรรดาภรรยาของท่านรอซูล) มีประจำเดือน ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็จะใช้ให้พวกนางปิดกั้นอวัยวะเพศของนาง (ด้วยผ้าซับเลือดประจำเดือน) โดยเฉพาะในช่วงเวลาเลือดประจำเดือนมามาก แล้วท่านก็จะกอดจูบนาง (โดยไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง)
                ท่านหญิงอาอิชะห์ กล่าวต่อไปว่า คนใดบ้างในหมู่พวกท่านจะควบคุมอารมณ์ไม่ให้เลยเถิดเหมือนดั่งท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ควบคุมอารมณ์ของท่าน

มุสลิม/หมวดที่3/บทที่1/ฮะดีษเลขที่ 0578

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยผู้กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์จะออกจากนรก




عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ يَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ شَعِيرَةٍ مِنْ خَيْرٍ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ بُرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ ذَرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ قَالَ أَبَانُ حَدَّثَنَا قَتَادَةُ حَدَّثَنَا أَنَسٌ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مِنْ إِيمَانٍ ‏"‏‏.‏ مَكَانَ ‏"‏ مِنْ خَيْرٍ ‏"



                 อนัส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เขาจะออกจากนรก ผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีความดี (การศรัทธา) น้ำหนักเท่ากับเมล็ดข้าวฟ่าง และเขาจะได้ออกจากนรกผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีการศรัทธา น้ำหนักเท่ากับเมล็ดข้าวสาลี และเขาจะได้ออกจากนรก ผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีการศรัทธา น้ำหนักเท่ากับปรมาณู

บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่33/ฮะดีษเลขที่ 44

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการอยู่ร่วมกับภริยาขณะมีประจำเดือน การจูบภริยาขณะถือศิลอด



حَدَّثَنَا سَعْدُ بْنُ حَفْصٍ، قَالَ حَدَّثَنَا شَيْبَانُ، عَنْ يَحْيَى، عَنْ أَبِي سَلَمَةَ، عَنْ زَيْنَبَ ابْنَةِ أَبِي سَلَمَةَ، حَدَّثَتْهُ أَنَّ أُمَّ سَلَمَةَ قَالَتْ حِضْتُ وَأَنَا مَعَ النَّبِيِّ، صلى الله عليه وسلم فِي الْخَمِيلَةِ، فَانْسَلَلْتُ فَخَرَجْتُ مِنْهَا، فَأَخَذْتُ ثِيَابَ حِيضَتِي فَلَبِسْتُهَا، فَقَالَ لِي رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ أَنُفِسْتِ ‏"‏‏.‏ قُلْتُ نَعَمْ، فَدَعَانِي فَأَدْخَلَنِي مَعَهُ فِي الْخَمِيلَةِ‏.‏ قَالَتْ وَحَدَّثَتْنِي أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم كَانَ يُقَبِّلُهَا وَهُوَ صَائِمٌ، وَكُنْتُ أَغْتَسِلُ أَنَا وَالنَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم مِنْ إِنَاءٍ وَاحِدٍ مِنَ الْجَنَابَةِ‏  





             รายงานจากซัยหนับ บินติอบีซะละมะห์ ว่า ท่านหญิงอุมมุซะละมะห์ กล่าวว่า ฉันมีเลือดประจำเดือนขณะที่ฉันนอนอยู่ในผ้าห่มขนสัตว์พร้อมกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นฉันจึงขยับออกมา แล้วนำผ้ารองซับประจำเดือนของฉันมานุ่ง ท่านรอซูลลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวกับฉันว่า เลือดประจำเดือนของเธอมาหรือ ? ฉันตอบตอบว่า ใช่  หลังจากนั้นท่านก็เรียกฉันให้เข้าไปนอนในผ้าห่มขนสัตว์พร้อมกับท่าน
                ซัยหนับ กล่าวว่า ท่านหญิงอุมุซะละมะห์ เล่าให้ฉันฟังว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จูบเธอในขณะที่ท่านถือศีลอด และฉันกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เคยอาบน้ำญะนาบะห์จากน้ำในภาชนะเดียวกัน


บุคอรี/หมวดที่6/บทที่21/ฮะดีษเลขที่ 322

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยเมื่อเลือดประจำเดือนมาให้งดละหมาด



حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ يُونُسَ، عَنْ زُهَيْرٍ، قَالَ حَدَّثَنَا هِشَامٌ، عَنْ عُرْوَةَ، عَنْ عَائِشَةَ، قَالَتْ قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِذَا أَقْبَلَتِ الْحَيْضَةُ فَدَعِي الصَّلاَةَ، وَإِذَا أَدْبَرَتْ فَاغْسِلِي عَنْكِ الدَّمَ وَصَلِّي ‏"‏‏  





             ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เมื่อเลือดประจำเดือนของเธอมาก็จงงดการละหมาด และเมื่อเลือดประจำเดือนหมดไปก็จงล้างคราบเลือดประจำเดือน (หมายถึงใช้ให้อาบน้ำ) และก็จงละหมาด 


บุคอรี/หมวดที่6/บทที่28/ฮะดีษเลขที่ 331

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยสาเหตุพระองค์อัลลอฮ์ทรงประธานอายะห์ตะยัมมุม



حَدَّثَنَا زَكَرِيَّاءُ بْنُ يَحْيَى، قَالَ حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ نُمَيْرٍ، قَالَ حَدَّثَنَا هِشَامُ بْنُ عُرْوَةَ، عَنْ أَبِيهِ، عَنْ عَائِشَةَ، أَنَّهَا اسْتَعَارَتْ مِنْ أَسْمَاءَ قِلاَدَةً فَهَلَكَتْ، فَبَعَثَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم رَجُلاً، فَوَجَدَهَا فَأَدْرَكَتْهُمُ الصَّلاَةُ وَلَيْسَ مَعَهُمْ مَاءٌ فَصَلَّوْا، فَشَكَوْا ذَلِكَ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَأَنْزَلَ اللَّهُ آيَةَ التَّيَمُّمِ‏.‏ فَقَالَ أُسَيْدُ بْنُ حُضَيْرٍ لِعَائِشَةَ جَزَاكِ اللَّهُ خَيْرًا، فَوَاللَّهِ مَا نَزَلَ بِكِ أَمْرٌ تَكْرَهِينَهُ إِلاَّ جَعَلَ اللَّهُ ذَلِكِ لَكِ وَلِلْمُسْلِمِينَ فِيهِ خَيْرًا‏





                 ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า เธอขอยืมสร้อยคอจาก อัสมาอ์ แล้วมันหล่นหาย ดั้งนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงได้ส่งคนไปค้นหาแล้วก็พบมัน การละหมาดได้มาถึงพวกเขาในขณะที่พวกเขาไม่มีน้ำ (สำหรับอาบน้ำละหมาด) แต่พวกเขาก็ละหมาด (โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด) หลังจากนั้นพวกเขาได้มาร้องทุกข์ต่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงประทานอายะห์ตะยัมมุมมา
                อุซัย บิน ฮุดอยร์ ได้กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีให้แก่เธอด้วย ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ไม่มีเรื่องใดที่น่ารังเกียจซึ่งถูกประทานลงมาด้วยสาเหตุของเธอ นอกจากอัลลอฮ์จะทำให้มันเป็นความดีแก่เธอและบรรดามุสลิม

บุคอรี/หมวดที่ 7/บทที่ 2/ฮะดีษเลขที่ 336

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการออกไปร่วมชุมนุมของมุสลีมะฮ์ในวันอีด



حَدَّثَنَا مُحَمَّدٌ ـ هُوَ ابْنُ سَلاَمٍ ـ قَالَ أَخْبَرَنَا عَبْدُ الْوَهَّابِ، عَنْ أَيُّوبَ، عَنْ حَفْصَةَ، قَالَتْ كُنَّا نَمْنَعُ عَوَاتِقَنَا أَنْ يَخْرُجْنَ فِي الْعِيدَيْنِ، فَقَدِمَتِ امْرَأَةٌ فَنَزَلَتْ قَصْرَ بَنِي خَلَفٍ، فَحَدَّثَتْ عَنْ أُخْتِهَا، وَكَانَ زَوْجُ أُخْتِهَا غَزَا مَعَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم ثِنْتَىْ عَشَرَةَ، وَكَانَتْ أُخْتِي مَعَهُ فِي سِتٍّ‏.‏ قَالَتْ كُنَّا نُدَاوِي الْكَلْمَى، وَنَقُومُ عَلَى الْمَرْضَى، فَسَأَلَتْ أُخْتِي النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم أَعَلَى إِحْدَانَا بَأْسٌ إِذَا لَمْ يَكُنْ لَهَا جِلْبَابٌ أَنْ لاَ تَخْرُجَ قَالَ ‏"‏ لِتُلْبِسْهَا صَاحِبَتُهَا مِنْ جِلْبَابِهَا، وَلْتَشْهَدِ الْخَيْرَ وَدَعْوَةَ الْمُسْلِمِينَ ‏"‏‏.‏ فَلَمَّا قَدِمَتْ أُمُّ عَطِيَّةَ سَأَلْتُهَا أَسَمِعْتِ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَتْ بِأَبِي نَعَمْ ـ وَكَانَتْ لاَ تَذْكُرُهُ إِلاَّ قَالَتْ بِأَبِي ـ سَمِعْتُهُ يَقُولُ ‏"‏ يَخْرُجُ الْعَوَاتِقُ وَذَوَاتُ الْخُدُورِ، أَوِ الْعَوَاتِقُ ذَوَاتُ الْخُدُورِ وَالْحُيَّضُ، وَلْيَشْهَدْنَ الْخَيْرَ وَدَعْوَةَ الْمُؤْمِنِينَ، وَيَعْتَزِلُ الْحُيَّضُ الْمُصَلَّى ‏"‏‏.‏ قَالَتْ حَفْصَةُ فَقُلْتُ الْحُيَّضُ فَقَالَتْ أَلَيْسَ تَشْهَدُ عَرَفَةَ وَكَذَا وَكَذَا  






           อัยยูบ รายงานว่า ฮับเซาะห์ ได้กล่าวว่า พวกเราเคยห้ามสาวรุ่นในหมู่พวกเราไม่ให้ออกไปร่วมในกิจกรรมวันอีดทั้งสอง หลังจากนั้นได้มีหญิงผู้หนึ่งมาจากวังของบนีค่อลัฟ (อยู่ที่เมืองบัศเราะห์ตอนใต้ของประเทศอิรัคในปัจจุบัน) และได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพี่สาวของเธอ โดยที่สามีของพี่สาวเธอนั้นได้เคยออกร่วมสงครามพร้อมกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จำนวน 12 ครั้ง และพี่สาวของเธอก็เคยออกไปร่วมสมรภูมิพร้อมกับสามีของเธอด้วย 6 ครั้ง เธอเล่าว่า พี่สาวของเธอกล่าวว่า  พวกเราคอยปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ และรักษาผู้ป่วย และพี่สาวของฉันก็เคยถามท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า  จะทำอย่างไรเล่า ถ้าคนใดในหมู่พวกเราไม่มีผ้าคลุมแล้วไม่ได้ออกไป (ร่วมกิจกรรมในวันอีด) ท่านตอบว่า ผู้ที่มีผ้าคลุมก็จะต้องสวมใส่มัน แล้วออกไปร่วมกิจกรรมชุมนุมของบรรดามุสลิม
                หลังจากนั้น อุมมุอะตียะห์ ได้มาถึงพอดี ฉันจึงได้ถามเธอว่า เธอเคยได้ยินเรื่องนี้จากท่านนบีบ้างหรือเปล่า ? เธอตอบว่า ใช่ ด้วยกับพ่อของฉัน (คำว่า บิอะบี เป็นสำนวนคำยืนยันในภาษาอาหรับ) และเธอจะไม่กล่าวอะไรเกี่ยวกับท่านนบีนอกจากจะยืนยันด้วยคำว่า ด้วยพ่อของฉัน
                ฉันเคยได้ยินท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า หญิงสาวรุ่นและหญิงพรหมจารี หรือหญิงสาวรุ่นและหญิงที่ยังไม่มีสามี รวมถึงหญิงที่มีประจำเดือนแล้ว จะต้องออกไปร่วมกิจกรรมชุมนุมของบรรดาผู้ศรัทธา แต่หญิงที่มีประจำเดือนให้อยู่นอกเขตที่ละหมาด
                ฮับเซาะห์ ได้กล่าวว่า ฉันย้อนถามว่า หญิงมีประจำเดือนด้วยหรือ เธอตอบว่า หญิงมีประจำเดือนไม่ได้อยู่ร่วมที่อะรอฟะห์ อย่างนั้น,อย่างนี้หรือ ? (อะรอฟะห์ คือสถานที่พักค้างสำหรับผู้ทำฮัจญ์ ตรงกับวันที่ 9 เดือนซุลฮิจญะห์) 

บุคอรี/หมวดที่6/บทที่23/ฮะดีษเลขที่ 324

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยพวกอบูญะฮล์กลั่นแกล้งท่านนบี



عَنْ عَبْدِ اللَّهِ، قَالَ بَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم سَاجِدٌ ح قَالَ وَحَدَّثَنِي أَحْمَدُ بْنُ عُثْمَانَ قَالَ حَدَّثَنَا شُرَيْحُ بْنُ مَسْلَمَةَ قَالَ حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ يُوسُفَ عَنْ أَبِيهِ عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ قَالَ حَدَّثَنِي عَمْرُو بْنُ مَيْمُونٍ أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ مَسْعُودٍ حَدَّثَهُ أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم كَانَ يُصَلِّي عِنْدَ الْبَيْتِ، وَأَبُو جَهْلٍ وَأَصْحَابٌ لَهُ جُلُوسٌ، إِذْ قَالَ بَعْضُهُمْ لِبَعْضٍ أَيُّكُمْ يَجِيءُ بِسَلَى جَزُورِ بَنِي فُلاَنٍ فَيَضَعُهُ عَلَى ظَهْرِ مُحَمَّدٍ إِذَا سَجَدَ فَانْبَعَثَ أَشْقَى الْقَوْمِ فَجَاءَ بِهِ، فَنَظَرَ حَتَّى إِذَا سَجَدَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم وَضَعَهُ عَلَى ظَهْرِهِ بَيْنَ كَتِفَيْهِ وَأَنَا أَنْظُرُ، لاَ أُغَيِّرُ شَيْئًا، لَوْ كَانَ لِي مَنْعَةٌ‏.‏ قَالَ فَجَعَلُوا يَضْحَكُونَ وَيُحِيلُ بَعْضُهُمْ عَلَى بَعْضٍ، وَرَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم سَاجِدٌ لاَ يَرْفَعُ رَأْسَهُ، حَتَّى جَاءَتْهُ فَاطِمَةُ، فَطَرَحَتْ عَنْ ظَهْرِهِ، فَرَفَعَ رَأْسَهُ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ اللَّهُمَّ عَلَيْكَ بِقُرَيْشٍ ‏"‏‏.‏ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ، فَشَقَّ عَلَيْهِمْ إِذْ دَعَا عَلَيْهِمْ ـ قَالَ وَكَانُوا يُرَوْنَ أَنَّ الدَّعْوَةَ فِي ذَلِكَ الْبَلَدِ مُسْتَجَابَةٌ ـ ثُمَّ سَمَّى ‏"‏ اللَّهُمَّ عَلَيْكَ بِأَبِي جَهْلٍ، وَعَلَيْكَ بِعُتْبَةَ بْنِ رَبِيعَةَ، وَشَيْبَةَ بْنِ رَبِيعَةَ، وَالْوَلِيدِ بْنِ عُتْبَةَ، وَأُمَيَّةَ بْنِ خَلَفٍ، وَعُقْبَةَ بْنِ أَبِي مُعَيْطٍ ‏"‏‏.‏ وَعَدَّ السَّابِعَ فَلَمْ يَحْفَظْهُ قَالَ فَوَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ، لَقَدْ رَأَيْتُ الَّذِينَ عَدَّ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم صَرْعَى فِي الْقَلِيبِ قَلِيبِ بَدْرٍ‏  




                 อับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ด เล่าให้เขา (ผู้รายงาน) ฟังว่า  ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังละหมาดอยู่ที่กะอ์บะห์ โดยอบูญะฮล์ และสหายของเขาก็อยู่ที่นั้นด้วย คนหนึ่งในหมู่พวกเขา (อบูญะฮล์) กล่าวกับบรรดาสหายของเขาว่า  ใครก็ได้ในหมู่พวกเจ้าไปเอารกอูฐที่บ้านคนนั้นมาหน่อย แล้วเอามันคลุมหลังของมูฮัมหมัดตอนที่ก้มกราบ (สุญูด)  และพวกเขาก็มอบหมายให้ (อุกบะห์ อิบนุ มุอี๊ด) ไปจัดการเรื่องนี้ และเขาก็เอารกอูฐมา (ในเช้าวันรุ่งขึ้น)  และคอยจนกระทั่งท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม (ละหมาดและ) สุญูด เขาจึงเอารกอูฐไปคลุมหลังระหว่างบ่าทั้งสองของท่านนบี ตอนนั้นฉันก็เห็นที่พวกเขาทำแต่ไม่สามารถจะช่วยเหลือใดๆได้ และถ้าฉันมีกำลังพอฉันก็จะหยุดพฤติกรรมของพวกเขา,
                เขาเล่าต่อไปว่า หลังจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะ และต่างก็กล่าวถากถางเป็นที่ขบขันในหมู่พวกเขา ซึ่งขณะนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็ยังอยู่ในท่าสุญูดโดยท่านไม่สามารถที่จะเงยศีรษะของท่านขึ้นได้ จนกระทั่ง ฟาติมะห์ (ลูกสาวของท่าน) มานำเอารกอูฐทั้งผืนออกจากหลังของท่าน, ท่านจึงเงยศีรษะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ขอพระองค์ทรงลงโทษพวกกุรอยช์เหล่านี้ด้วยเถิด” ท่านกล่าวเช่นนี้สามครั้ง เมื่อพวกเขาได้ยินคำวิงวอนสาปแช่งเช่นนั้นต่างก็ตื่นตระหนก เพราะพวกเขายังเชื่อว่า การวิงวอนขอ ณ.ที่นั้น (บัยตุ้ลลอฮ์) จะถูกตอบรับ
                ท่านนบี กล่าวต่อไปโดยเรียกชื่อของพวกเขาทีละคนว่า “โอ้อัลลลอฮ์โปรดลงโทษ อบูญะฮล์, ขอพระองค์ลงโทษ อุตบะห์ บินรอบีอะห์, ชัยบะห์ บินรอบีอะห์, อัลวะลีด บินอุตบะห์, อุมัยยะห์ บินค่อลัฟ, อุกบะห์ อิบนุอบีมุอี๊ด”  และท่านกล่าวถึงอีกคนหนึ่งเป็นลำดับที่เจ็ด แต่เราจำชื่อเขาไม่ได้
                อับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ด กล่าวว่า ขอสาบานต่อ (อัลลอฮ์) ผู้ซึ่งที่ตัวของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตของพระองค์ว่า ฉันเห็นร่างของบรรดาผู้ที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เอ่ยชื่อพวกเขานี้ ถูกโยนลงในหลุม, สุสานแห่งสมรภูมิบะดัร


บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่70/ฮะดีษเลขที่ 240

หะดิามุสลิม ว่าด้วยการทำความสะอาดปัสสาวะของเด็กชาย



أَنَّ أَمَّ قَيْسٍ بِنْتَ مِحْصَنٍ، - وَكَانَتْ مِنَ الْمُهَاجِرَاتِ الأُوَلِ اللاَّتِي بَايَعْنَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَهِيَ أُخْتُ عُكَّاشَةَ بْنِ مِحْصَنٍ أَحَدُ بَنِي أَسَدِ بْنِ خُزَيْمَةَ - قَالَ أَخْبَرَتْنِي أَنَّهَا أَتَتْ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِابْنٍ لَهَا لَمْ يَبْلُغْ أَنْ يَأْكُلَ الطَّعَامَ - قَالَ عُبَيْدُ اللَّهِ - أَخْبَرَتْنِي أَنَّ ابْنَهَا ذَاكَ بَالَ فِي حِجْرِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَدَعَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِمَاءٍ فَنَضَحَهُ عَلَى ثَوْبِهِ وَلَمْ يَغْسِلْهُ غَسْلاً  




          อุมมุก็อยซ์ บินติ มิฮ์ศ็อน เธอเป็นคนหนึ่งในหมู่สตรีที่อพยพรุ่นแรก และเป็นหนึ่งในหมู่สตรีที่ให้สัตยาบันต่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม, เธอเป็นน้องสาวของ อุกาซะห์ อิบนุ มิฮ์ศ็อน ซึ่งมาจากบนีอะสัด บิน คุซัยมะห์ เธอเล่าให้ฉัน (อุบัยดุลลอฮ์ อิบนุ อับดิลลาฮ์) ฟังว่า  เธอนำลูกชายของเธอที่ยังไม่พ้นวัยกินอาหารอื่นใด (นอกจากนม) มาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
                อุบัยดุลลอฮ์ เล่าต่อว่า เธอบอกกับฉันว่า ลูกชายของเธอปัสสาวะใส่ตักของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็เรียกให้นำน้ำมาให้ แล้วท่านก็พรมน้ำที่ผ้าของท่านตรงรอยปัสสาวะ โดยท่านไม่ได้ล้างรอยปัสสาวะนั้นแต่อย่างใด


มุสลิม/หมวดที่2/บทที่31/ฮะดีษเลขที่ 0565

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยหญิงที่ลูกของนางเสียชีวิตในวัยเด็ก



عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ،‏.‏ قَالَتِ النِّسَاءُ لِلنَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم غَلَبَنَا عَلَيْكَ الرِّجَالُ، فَاجْعَلْ لَنَا يَوْمًا مِنْ نَفْسِكَ‏.‏ فَوَعَدَهُنَّ يَوْمًا لَقِيَهُنَّ فِيهِ، فَوَعَظَهُنَّ وَأَمَرَهُنَّ، فَكَانَ فِيمَا قَالَ لَهُنَّ ‏"‏ مَا مِنْكُنَّ امْرَأَةٌ تُقَدِّمُ ثَلاَثَةً مِنْ وَلَدِهَا إِلاَّ كَانَ لَهَا حِجَابًا مِنَ النَّارِ ‏"‏‏.‏ فَقَالَتِ امْرَأَةٌ وَاثْنَيْنِ فَقَالَ ‏"‏ وَاثْنَيْنِ ‏"‏‏  


                อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ รายงานว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมว่า บรรดาผู้ชายมีโอกาสใกล้ชิดท่านมากกว่าพวกเรา ฉะนั้นขอโปรดให้ท่านจัดเวลาให้พวกเราสักวันหนึ่งเถิด ซึ่งท่านได้ให้สัญญาแก่พวกนางว่า จะให้เวลาแก่พวกนางวันหนึ่งสำหรับการตักเตือนและออกคำสั่งแก่พวกนาง  โดนครั้งหนึ่งของการอบรม (สตรี) ท่านนบีได้กล่าวว่า “ไม่มีหญิงใดที่ลูกของนางเสียชีวิตสามคน (ในวัยเด็ก)  นอกจากหญิงผู้นั้นจะได้รับการป้องกันจากไฟนรก” มีหญิงผู้หนึ่งถามว่า ถ้าสองคนละ ? ท่านตอบว่า “แม้จะสองคนก็ตาม”

บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่35/ฮะดีษเลขที่ 101

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยต่างหูและแหวน



عَنْ أَيُّوبَ، قَالَ سَمِعْتُ عَطَاءً، قَالَ سَمِعْتُ ابْنَ عَبَّاسٍ، قَالَ أَشْهَدُ عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم ـ أَوْ قَالَ عَطَاءٌ أَشْهَدُ عَلَى ابْنِ عَبَّاسٍ ـ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَرَجَ وَمَعَهُ بِلاَلٌ، فَظَنَّ أَنَّهُ لَمْ يُسْمِعِ النِّسَاءَ فَوَعَظَهُنَّ، وَأَمَرَهُنَّ بِالصَّدَقَةِ، فَجَعَلَتِ الْمَرْأَةُ تُلْقِي الْقُرْطَ وَالْخَاتَمَ، وَبِلاَلٌ يَأْخُذُ فِي طَرَفِ ثَوْبِهِ‏.‏ وَقَالَ إِسْمَاعِيلُ عَنْ أَيُّوبَ عَنْ عَطَاءٍ وَقَالَ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ أَشْهَدُ عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم‏.‏ 


  
                อบีอัยยูบ รายงานว่า ฉันเคยได้ยินอะฏออ์ กล่าวว่า หรือฉันเคยได้ยินอิบนิอับบาส กล่าวว่า ฉันยืนยันว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยวะซัลลัม ได้ออกไปพร้อมกับบิล้าล (หลังจากคุตบะห์อีดเรียบรอ้ยแล้วโดยตรง ไปที่หมู่สตรี) ที่เขาคิดว่าไม่ได้ยินคำสอนของท่าน, ท่านได้ตักเตือนแก่พวกนาง และใช้ให้พวกนางบริจาค ฉะนั้นบรรดาผู้หญิงจึงได้นำต่างหูและแหวนของพวกนางมาโยนใส่ในผ้า โดยบิล้าลได้ถือชายผ้านั้นไว้

บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่32/ฮะดีษเลขที่ 98

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยความบกพร่องทางปัญญาและทางศาสนาของสตรี



عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ، عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ قَالَ ‏"‏ يَا مَعْشَرَ النِّسَاءِ تَصَدَّقْنَ وَأَكْثِرْنَ الاِسْتِغْفَارَ فَإِنِّي رَأَيْتُكُنَّ أَكْثَرَ أَهْلِ النَّارِ ‏"‏ ‏.‏ فَقَالَتِ امْرَأَةٌ مِنْهُنَّ جَزْلَةٌ وَمَا لَنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ أَكْثَرَ أَهْلِ النَّارِ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ تُكْثِرْنَ اللَّعْنَ وَتَكْفُرْنَ الْعَشِيرَ وَمَا رَأَيْتُ مِنْ نَاقِصَاتِ عَقْلٍ وَدِينٍ أَغْلَبَ لِذِي لُبٍّ مِنْكُنَّ ‏"‏ ‏.‏ قَالَتْ يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا نُقْصَانُ الْعَقْلِ وَالدِّينِ قَالَ ‏"‏ أَمَّا نُقْصَانُ الْعَقْلِ فَشَهَادَةُ امْرَأَتَيْنِ تَعْدِلُ شَهَادَةَ رَجُلٍ فَهَذَا نُقْصَانُ الْعَقْلِ وَتَمْكُثُ اللَّيَالِيَ مَا تُصَلِّي وَتُفْطِرُ فِي رَمَضَانَ فَهَذَا نُقْصَانُ الدِّينِ ‏"‏ ‏.‏ 

            อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร รายงานจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ท่านรอซูลได้กล่าวว่า “โอ้บรรดาสตรีทั้งหลาย พวกเธอควรบริจาคให้เยอะ และขออภัยโทษให้มากๆ ฉันได้เห็นสตรีส่วนมากเป็นชาวนรก” หญิงที่ไหวพริบดีผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า ทำไมพวกเราส่วนใหญ่จึงเป็นชาวนรกละ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์  ท่านตอบว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบสาปแช่ง,และดื้อดึงต่อสามี และฉันไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดบกพร่องทั้งทางปัญญา (ขาดความสุขุม,รอบคอบ) และ(บกพร่องในการปฏิบัติ) ศาสนาในเวลาเดียวกันมากไปกว่าเหล่าสตรีเลย, หญิงผู้นั้นถามว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ความบกพร่องทางปัญญาและศาสนาเป็นอย่างไรหรือ ? ท่านตอบว่า การบกพร่องทางปัญญาก็เช่น การเป็นพยานของสตรีสองคนเท่ากับการเป็นพยานของชายหนึ่งคน นี่คือความบกพร่องทางปัญญา, และระยะหลายคืน (ติดต่อกันรวมทั้งกลางวันด้วย ที่บรรดาสตรีมีประจำเดือน) เธอไม่ได้ละหมาดและถือศีลอดในเดือนรอมฏอน นี่คือความบกพร่องทางศาสนา”

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่36/ฮะดีษเลขที่ 0142

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการฝันของท่านนบีเห็นเยือกที่มีน้ำนม




أَنَّ ابْنَ عُمَرَ، قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ بَيْنَا أَنَا نَائِمٌ أُتِيتُ بِقَدَحِ لَبَنٍ، فَشَرِبْتُ حَتَّى إِنِّي لأَرَى الرِّيَّ يَخْرُجُ فِي أَظْفَارِي، ثُمَّ أَعْطَيْتُ فَضْلِي عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ‏"‏‏.‏ قَالُوا فَمَا أَوَّلْتَهُ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الْعِلْمَ ‏"‏‏.‏  




                รายงานจาก (อับดุลลอฮ์) อิบนิอุมัร ว่า ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ขณะที่ฉันกำลังหลับ (และฝันเห็น) เหยือกที่มีน้ำนมเต็มเปี่ยมถูกนำมาให้ฉัน และฉันก็ดื่มนมนั้นจนกระทั่งจนพบว่าน้ำนมนั้นได้ไหลออกจากเล็บของฉันจนเปียกแฉะ หลังจากนั้นฉันก็ให้น้ำนมที่เหลืออยู่แก่อุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ” บรรดาศอฮาบะห์ถามว่า ท่านจะทำนายฝันนี้อย่างไรหรือโอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “มันคือความรู้” (ที่ถูกถ่ายทอดออกไป)

บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่22/ฮะดีษเลขที่ 82

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการฝันเห็นการสวมเสื้อผ้าของคนกลุ่มหนึ่ง



عَنْ أَبِي أُمَامَةَ بْنِ سَهْلٍ، أَنَّهُ سَمِعَ أَبَا سَعِيدٍ الْخُدْرِيَّ، يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ بَيْنَا أَنَا نَائِمٌ رَأَيْتُ النَّاسَ يُعْرَضُونَ عَلَىَّ، وَعَلَيْهِمْ قُمُصٌ مِنْهَا مَا يَبْلُغُ الثُّدِيَّ، وَمِنْهَا مَا دُونَ ذَلِكَ، وَعُرِضَ عَلَىَّ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ وَعَلَيْهِ قَمِيصٌ يَجُرُّهُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا فَمَا أَوَّلْتَ ذَلِكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الدِّينَ ‏"‏‏


                 อบีอุมามะห์ บินซะฮล์ รายงานว่า เขาได้ยิน อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ขณะที่ฉันนอนหลับ ฉันได้ฝันเห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏต่อหน้าฉัน พวกเขาสวมเสื้อผ้ายาวมาถึงแค่ราวนม บางส่วนก็สั้นกว่านั้นอีก แล้วอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ก็ปรากฏให้ฉันเห็น (ในฝัน) เขาใส่เสื้อที่ยาวลากพื้น” บรรดาศอฮาบะห์ถามว่า แล้วท่านจะทำนายฝันนี้อย่างไรหรือโอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “หมายถึงศาสนา”  (คือการที่บรรดาผู้คนที่มีศรัทธามากหรือน้อยแตกต่างกันไป) 

บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่15/ฮะดีษเลขที่ 23

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการกล่าว ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ ก่อนเสียชีวิต



أَنَّ أَبَا ذَرٍّ حَدَّثَهُ قَالَ أَتَيْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم وَهُوَ نَائِمٌ عَلَيْهِ ثَوْبٌ أَبْيَضُ ثُمَّ أَتَيْتُهُ فَإِذَا هُوَ نَائِمٌ ثُمَّ أَتَيْتُهُ وَقَدِ اسْتَيْقَظَ فَجَلَسْتُ إِلَيْهِ فَقَالَ ‏"‏ مَا مِنْ عَبْدٍ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ ثُمَّ مَاتَ عَلَى ذَلِكَ إِلاَّ دَخَلَ الْجَنَّةَ ‏"‏ ‏.‏ قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ ‏"‏ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ ‏"‏ ‏.‏ قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ ‏"‏ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ ‏"‏ ‏.‏ ثَلاَثًا ثُمَّ قَالَ فِي الرَّابِعَةِ ‏"‏ عَلَى رَغْمِ أَنْفِ أَبِي ذَرٍّ ‏"‏ قَالَ فَخَرَجَ أَبُو ذَرٍّ وَهُوَ يَقُولُ وَإِنْ رَغِمَ أَنْفُ أَبِي ذَرٍّ ‏.‏  



            อบูซัรริน ได้เล่าให้เขา (ผู้รายงาน) ฟังโดยกล่าวว่า ฉันไปหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และพบว่าท่านนอนหลับโดยมีผ้าสีขาวห่มอยู่ และเมื่อฉันไปหาท่านอีกครั้งก็พบว่าท่านยังหลับอยู่ อีกสักพักหนึ่งฉันก็ไปใหม่และพบว่าท่านตื่นนอนแล้ว ฉันจึงเข้าไปนั่งข้างท่าน, ทันใดนั้นท่านก็กล่าวว่า “ไม่มีบ่าวคนใดที่กล่าวว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์  แล้วเขาเสียชีวิตไปด้วยคำกล่าวนั้น นอกจากเขาได้เข้าสวรรค์ ฉัน (อบูซัรริน) จึงถามว่า แม้ว่าเขาจะผิดประเวณีและลักขโมยเช่นนั้นหรือ ท่านตอบว่า แม้ว่าเขาจะผิดประเวณีและลักขโมย ฉันถาย้ำอีกว่า แม้ว่าเขาจะผิดประเวณีและลักขโมยอย่างนั้นหรือ ท่านตอบว่า ใช่ ! แม้เขาจะผิดประเวณีและลักขโมยก็ตาม ท่านกล่าวย้ำสามครั้ง และในครั้งที่สี่ท่านท่านกล่าวว่า อนาถแท้อบูซัรริน เขากล่าวว่า อบูซัรรินได้ออกมาจากท่านรอซูลโดยยังคงกล่าวว่า แม้จะเป็นความน่าสมเพชของอบูซัรริน


มุสลิม/หมวดที่1/บทที่42/ฮะดีษเลขที่ 0172

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการรับวะฮีย์ครั้งแรกของท่านนบี




حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ بُكَيْرٍ، قَالَ حَدَّثَنَا اللَّيْثُ، عَنْ عُقَيْلٍ، عَنِ ابْنِ شِهَابٍ، عَنْ عُرْوَةَ بْنِ الزُّبَيْرِ، عَنْ عَائِشَةَ أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ، أَنَّهَا قَالَتْ أَوَّلُ مَا بُدِئَ بِهِ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنَ الْوَحْىِ الرُّؤْيَا الصَّالِحَةُ فِي النَّوْمِ، فَكَانَ لاَ يَرَى رُؤْيَا إِلاَّ جَاءَتْ مِثْلَ فَلَقِ الصُّبْحِ، ثُمَّ حُبِّبَ إِلَيْهِ الْخَلاَءُ، وَكَانَ يَخْلُو بِغَارِ حِرَاءٍ فَيَتَحَنَّثُ فِيهِ ـ وَهُوَ التَّعَبُّدُ ـ اللَّيَالِيَ ذَوَاتِ الْعَدَدِ قَبْلَ أَنْ يَنْزِعَ إِلَى أَهْلِهِ، وَيَتَزَوَّدُ لِذَلِكَ، ثُمَّ يَرْجِعُ إِلَى خَدِيجَةَ، فَيَتَزَوَّدُ لِمِثْلِهَا، حَتَّى جَاءَهُ الْحَقُّ وَهُوَ فِي غَارِ حِرَاءٍ، فَجَاءَهُ الْمَلَكُ فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ قَالَ ‏"‏ مَا أَنَا بِقَارِئٍ ‏"‏‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ قُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ‏.‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّانِيَةَ حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ فَقُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ‏.‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّالِثَةَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ ‏{‏اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ * خَلَقَ الإِنْسَانَ مِنْ عَلَقٍ * اقْرَأْ وَرَبُّكَ الأَكْرَمُ‏}‏ ‏"‏‏.‏ فَرَجَعَ بِهَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَرْجُفُ فُؤَادُهُ، فَدَخَلَ عَلَى خَدِيجَةَ بِنْتِ خُوَيْلِدٍ رضى الله عنها فَقَالَ ‏"‏ زَمِّلُونِي زَمِّلُونِي ‏"‏‏.‏ فَزَمَّلُوهُ حَتَّى ذَهَبَ عَنْهُ الرَّوْعُ، فَقَالَ لِخَدِيجَةَ وَأَخْبَرَهَا الْخَبَرَ ‏"‏ لَقَدْ خَشِيتُ عَلَى نَفْسِي ‏"‏‏.‏ فَقَالَتْ خَدِيجَةُ كَلاَّ وَاللَّهِ مَا يُخْزِيكَ اللَّهُ أَبَدًا، إِنَّكَ لَتَصِلُ الرَّحِمَ، وَتَحْمِلُ الْكَلَّ، وَتَكْسِبُ الْمَعْدُومَ، وَتَقْرِي الضَّيْفَ، وَتُعِينُ عَلَى نَوَائِبِ الْحَقِّ‏.‏ فَانْطَلَقَتْ بِهِ خَدِيجَةُ حَتَّى أَتَتْ بِهِ وَرَقَةَ بْنَ نَوْفَلِ بْنِ أَسَدِ بْنِ عَبْدِ الْعُزَّى ابْنَ عَمِّ خَدِيجَةَ ـ وَكَانَ امْرَأً تَنَصَّرَ فِي الْجَاهِلِيَّةِ، وَكَانَ يَكْتُبُ الْكِتَابَ الْعِبْرَانِيَّ، فَيَكْتُبُ مِنَ الإِنْجِيلِ بِالْعِبْرَانِيَّةِ مَا شَاءَ اللَّهُ أَنْ يَكْتُبَ، وَكَانَ شَيْخًا كَبِيرًا قَدْ عَمِيَ ـ فَقَالَتْ لَهُ خَدِيجَةُ يَا ابْنَ عَمِّ اسْمَعْ مِنَ ابْنِ أَخِيكَ‏.‏ فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ يَا ابْنَ أَخِي مَاذَا تَرَى فَأَخْبَرَهُ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَبَرَ مَا رَأَى‏.‏ فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ هَذَا النَّامُوسُ الَّذِي نَزَّلَ اللَّهُ عَلَى مُوسَى صلى الله عليه وسلم يَا لَيْتَنِي فِيهَا جَذَعًا، لَيْتَنِي أَكُونُ حَيًّا إِذْ يُخْرِجُكَ قَوْمُكَ‏.‏ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ أَوَمُخْرِجِيَّ هُمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ نَعَمْ، لَمْ يَأْتِ رَجُلٌ قَطُّ بِمِثْلِ مَا جِئْتَ بِهِ إِلاَّ عُودِيَ، وَإِنْ يُدْرِكْنِي يَوْمُكَ أَنْصُرْكَ نَصْرًا مُؤَزَّرًا‏.‏ ثُمَّ لَمْ يَنْشَبْ وَرَقَةُ أَنْ تُوُفِّيَ وَفَتَرَ الْوَحْىُ‏.‏ 


     ท่านหญิงอาอิชะห์ (มารดาแห่งศรัทธาชน)  ได้กล่าวว่า 


          "เริ่มแรกของวะฮีย์ที่มีมายังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในรูปของการฝันดีในยามหลับ ซึ่งสิ่งที่ท่านฝันเห็นนั้นเป็นดั่งแสงอรุณยามเช้า หลังจากนั้นท่านจะชอบอยู่ตามลำพัง โดยปลีกตัวไปอยู่ที่ถ้ำฮิรออ์ และที่นั่น ท่านได้ทำการวิงวอน คือการเคารพภักดี หลายคืนอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ท่านจะกลับมาหาครอบครัว และเตรียมเสบียง หลังจากนั้นท่านได้กลับมาหาท่านหญิงคอดิญะห์ เพื่อนำเสบียงกลับไปใหม่ 


          จนกระทั่งสัจธรรมได้มายังท่านขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำฮิรออ์ โดยมะลักได้มาหาท่านแล้วกล่าวว่า จงอ่าน ท่านตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น ท่านกล่าวว่า เขาจับฉันและบีบฉันอย่างแรงจนฉันทนแทบไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้บีบฉันอีกเป็นครั้งที่สองจนกระทั่งฉันทนไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้จับและบีบฉันอย่างแรงเป็นครั้งที่สามแล้วจึงปล่อย และกล่าวว่า   


          “จงอ่านด้วยนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และองค์อภิบาลของเจ้าผู้ทรงเอื้ออารีย์” 


          หลังจากนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กลับมาพร้อมกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก ท่านได้ไปหาท่านหญิงคอดิญะห์ บุตรสาวของ คุวัยวิด (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อนางด้วยเถิด) แล้วกล่าวว่า เอาผ้ามาคลุมฉัน! เอาผ้ามาคลุมฉัน! พวกเขาเอาผ้ามาคลุมท่านจนกระทั่งความหวาดกลัวได้คลายไปจากท่าน แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านหญิงคอดิญะห์ทราบ 


          ท่านกล่าวว่า  ฉันกลัวว่าอาจจะเกิดเหตุบางอย่างกับฉัน ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวว่า มิได้เป็นเช่นนั้นหรอก ขอสาบานต่อพระองค์อัลลอฮ์, พระองค์อัลลอฮ์จะมิทรงให้ท่านระทมอย่างแน่นอน เพราะท่านได้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ และแบกภาระของคนยากจน ท่านขวนขวายเพื่อคนอนาถา ท่านช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านเป็นปากเป็นเสียงแทนพวกเขาเหล่านั้น  


          แล้วท่านหญิงคอดิญะห์ก็พาท่านนบีไปพบกับวะรอเกาะห์ อิบนุเนาว์ฟัล อิบนุอะซัด อิบนุอับดิลอุซซา เขาเป็นลูกผู้พี่ของท่านหญิงคอดิญะห์ และเข้ารีตศาสนาคริสต์ ในสมัยญาฮิลียะห์ (ยุคก่อนการประกาศอิสลามของท่านนบี)  เขาเคยเขียนคัมภีร์ภาษายิว เขาคัดลอกคัมภีร์อินญีลเป็นภาษายิว ตามพระประสงค์แห่งอัลลอฮ์ที่ให้เขาเขียน เวลานั้นเขาแก่มากและตาพร่ามัว  


          ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ลูกผู้พี่ของฉัน โปรดฟังหลานของท่านด้วยเถิด วะรอเกาะได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้หลานเอ๋ย เจ้าเห็นอะไรหรือ  ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์จึงได้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ ทันใดนั้นวะรอเกาะห์ก็กล่าวขึ้นว่า นี่คือผู้กุมความลับที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งมาพบนบีมูซาก่อนหน้านี้แล้ว ฉันอยากกลับไปเป็นหนุ่มอีก ฉันอยากมีชีวิตอยู่ขณะที่กลุ่มชนของเจ้าขับไล่เจ้า  


          ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกเขาจะขับไล่ฉันอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดที่ได้รับอย่างที่เจ้าได้รับนอกจากเขาจะถูกนับเป็นศัตรู และหากฉันยังคงมีชีวิตอยู่ถึงวันที่เจ้าถูกนับเป็นศัตรูแล้วฉันจะให้ความช่วยเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นไม่นานวะรอเกาะฮ์ก็เสียชีวิต และช่วงนั้นวะฮีย์ก็ขาดตอนไประยะหนึ่ง" 

บุคคอรี/หมวดที่1/บทที่3/ฮะดีษเลขที่3

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรีย์ ว่าด้วยกรณีตื่นไม่ทันเวลาละหมาดซุบฮ์




حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ، قَالَ حَدَّثَنِي يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ، قَالَ حَدَّثَنَا عَوْفٌ، قَالَ حَدَّثَنَا أَبُو رَجَاءٍ، عَنْ عِمْرَانَ، قَالَ كُنَّا فِي سَفَرٍ مَعَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَإِنَّا أَسْرَيْنَا، حَتَّى كُنَّا فِي آخِرِ اللَّيْلِ، وَقَعْنَا وَقْعَةً وَلاَ وَقْعَةَ أَحْلَى عِنْدَ الْمُسَافِرِ مِنْهَا، فَمَا أَيْقَظَنَا إِلاَّ حَرُّ الشَّمْسِ، وَكَانَ أَوَّلَ مَنِ اسْتَيْقَظَ فُلاَنٌ ثُمَّ فُلاَنٌ ثُمَّ فُلاَنٌ ـ يُسَمِّيهِمْ أَبُو رَجَاءٍ فَنَسِيَ عَوْفٌ ـ ثُمَّ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ الرَّابِعُ، وَكَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِذَا نَامَ لَمْ يُوقَظْ حَتَّى يَكُونَ هُوَ يَسْتَيْقِظُ، لأَنَّا لاَ نَدْرِي مَا يَحْدُثُ لَهُ فِي نَوْمِهِ، فَلَمَّا اسْتَيْقَظَ عُمَرُ، وَرَأَى مَا أَصَابَ النَّاسَ، وَكَانَ رَجُلاً جَلِيدًا، فَكَبَّرَ وَرَفَعَ صَوْتَهُ بِالتَّكْبِيرِ، فَمَا زَالَ يُكَبِّرُ وَيَرْفَعُ صَوْتَهُ بِالتَّكْبِيرِ حَتَّى اسْتَيْقَظَ لِصَوْتِهِ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم فَلَمَّا اسْتَيْقَظَ شَكَوْا إِلَيْهِ الَّذِي أَصَابَهُمْ قَالَ ‏"‏ لاَ ضَيْرَ ـ أَوْ لاَ يَضِيرُ ـ ارْتَحِلُوا ‏"‏‏.‏ فَارْتَحَلَ فَسَارَ غَيْرَ بَعِيدٍ ثُمَّ نَزَلَ، فَدَعَا بِالْوَضُوءِ، فَتَوَضَّأَ وَنُودِيَ بِالصَّلاَةِ فَصَلَّى بِالنَّاسِ، فَلَمَّا انْفَتَلَ مِنْ صَلاَتِهِ إِذَا هُوَ بِرَجُلٍ مُعْتَزِلٍ لَمْ يُصَلِّ مَعَ الْقَوْمِ قَالَ ‏"‏ مَا مَنَعَكَ يَا فُلاَنُ أَنْ تُصَلِّيَ مَعَ الْقَوْمِ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَصَابَتْنِي جَنَابَةٌ وَلاَ مَاءَ‏.‏ قَالَ ‏"‏ عَلَيْكَ بِالصَّعِيدِ، فَإِنَّهُ يَكْفِيكَ ‏"‏‏.‏ ثُمَّ سَارَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم فَاشْتَكَى إِلَيْهِ النَّاسُ مِنَ الْعَطَشِ فَنَزَلَ، فَدَعَا فُلاَنًا ـ كَانَ يُسَمِّيهِ أَبُو رَجَاءٍ نَسِيَهُ عَوْفٌ ـ وَدَعَا عَلِيًّا فَقَالَ ‏"‏ اذْهَبَا فَابْتَغِيَا الْمَاءَ ‏"‏‏.‏ فَانْطَلَقَا فَتَلَقَّيَا امْرَأَةً بَيْنَ مَزَادَتَيْنِ ـ أَوْ سَطِيحَتَيْنِ ـ مِنْ مَاءٍ عَلَى بَعِيرٍ لَهَا، فَقَالاَ لَهَا أَيْنَ الْمَاءُ قَالَتْ عَهْدِي بِالْمَاءِ أَمْسِ هَذِهِ السَّاعَةَ، وَنَفَرُنَا خُلُوفًا‏.‏ قَالاَ لَهَا انْطَلِقِي إِذًا‏.‏ قَالَتْ إِلَى أَيْنَ قَالاَ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم‏.‏ قَالَتِ الَّذِي يُقَالُ لَهُ الصَّابِئُ قَالاَ هُوَ الَّذِي تَعْنِينَ فَانْطَلِقِي‏.‏ فَجَاءَا بِهَا إِلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَحَدَّثَاهُ الْحَدِيثَ قَالَ فَاسْتَنْزَلُوهَا عَنْ بَعِيرِهَا وَدَعَا النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بِإِنَاءٍ، فَفَرَّغَ فِيهِ مِنْ أَفْوَاهِ الْمَزَادَتَيْنِ ـ أَوِ السَّطِيحَتَيْنِ ـ وَأَوْكَأَ أَفْوَاهَهُمَا، وَأَطْلَقَ الْعَزَالِيَ، وَنُودِيَ فِي النَّاسِ اسْقُوا وَاسْتَقُوا‏.‏ فَسَقَى مَنْ شَاءَ، وَاسْتَقَى مَنْ شَاءَ، وَكَانَ آخِرَ ذَاكَ أَنْ أَعْطَى الَّذِي أَصَابَتْهُ الْجَنَابَةُ إِنَاءً مِنْ مَاءٍ قَالَ ‏"‏ اذْهَبْ، فَأَفْرِغْهُ عَلَيْكَ ‏"‏‏.‏ وَهْىَ قَائِمَةٌ تَنْظُرُ إِلَى مَا يُفْعَلُ بِمَائِهَا، وَايْمُ اللَّهِ لَقَدْ أُقْلِعَ عَنْهَا، وَإِنَّهُ لَيُخَيَّلُ إِلَيْنَا أَنَّهَا أَشَدُّ مِلأَةً مِنْهَا حِينَ ابْتَدَأَ فِيهَا، فَقَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ اجْمَعُوا لَهَا ‏"‏‏.‏ فَجَمَعُوا لَهَا مِنْ بَيْنِ عَجْوَةٍ وَدَقِيقَةٍ وَسَوِيقَةٍ، حَتَّى جَمَعُوا لَهَا طَعَامًا، فَجَعَلُوهَا فِي ثَوْبٍ، وَحَمَلُوهَا عَلَى بَعِيرِهَا، وَوَضَعُوا الثَّوْبَ بَيْنَ يَدَيْهَا قَالَ لَهَا ‏"‏ تَعْلَمِينَ مَا رَزِئْنَا مِنْ مَائِكِ شَيْئًا، وَلَكِنَّ اللَّهَ هُوَ الَّذِي أَسْقَانَا ‏"‏‏.‏ فَأَتَتْ أَهْلَهَا، وَقَدِ احْتَبَسَتْ عَنْهُمْ قَالُوا مَا حَبَسَكِ يَا فُلاَنَةُ قَالَتِ الْعَجَبُ، لَقِيَنِي رَجُلاَنِ فَذَهَبَا بِي إِلَى هَذَا الَّذِي يُقَالُ لَهُ الصَّابِئُ، فَفَعَلَ كَذَا وَكَذَا، فَوَاللَّهِ إِنَّهُ لأَسْحَرُ النَّاسِ مِنْ بَيْنِ هَذِهِ وَهَذِهِ‏.‏ وَقَالَتْ بِإِصْبَعَيْهَا الْوُسْطَى وَالسَّبَّابَةِ، فَرَفَعَتْهُمَا إِلَى السَّمَاءِ ـ تَعْنِي السَّمَاءَ وَالأَرْضَ ـ أَوْ إِنَّهُ لَرَسُولُ اللَّهِ حَقًّا، فَكَانَ الْمُسْلِمُونَ بَعْدَ ذَلِكَ يُغِيرُونَ عَلَى مَنْ حَوْلَهَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ، وَلاَ يُصِيبُونَ الصِّرْمَ الَّذِي هِيَ مِنْهُ، فَقَالَتْ يَوْمًا لِقَوْمِهَا مَا أُرَى أَنَّ هَؤُلاَءِ الْقَوْمَ يَدَعُونَكُمْ عَمْدًا، فَهَلْ لَكُمْ فِي الإِسْلاَمِ فَأَطَاعُوهَا فَدَخَلُوا فِي الإِسْلاَمِ‏  


  
              มุซัดดัด ได้เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ยะห์ยา อิบนุสะอี๊ด เล่าให้เราฟัง โดยกล่าวว่า เอาวฟ์ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า อบู รอญาอ์ เล่าให้เราฟังจาก อิมรอน กล่าวว่า :  พวกเราได้เดินทางพร้อมกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในครั้งหนึ่ง และพวกเราได้เดินทางต่อในยามกลางคืน จนกระทั่งถึงปลายคืน พวกเราจึงได้หยุดพักนอน ณ.สถานที่หนึ่ง และไม่มีการพักนอนครั้งใดที่จะหวานหอมไปยิ่งกว่า การพักนอนของผู้เดินทางในช่วงปลายคืน โดยไม่มีผู้ใดปลุกเรานอกจากความร้อนของดวงอาทิตย์ ปรากฏว่าผู้ที่ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกๆคือคนนั้น,คนนั้นและคนนั้น ตามด้วยอุมัร อิบนุ้ล ค๊อตต็อบ เป็นคนที่สี่  แต่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น เมื่อท่านนอนหลับก็ไม่มีใครปลุกท่าน นอกจากท่านจะตื่นด้วยตัวท่านเอง เนื่องจากพวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับในการนอนของท่าน, เมื่ออุมัรได้ตื่นขึ้นมาและพบสิ่งที่เกิดขึ้นแก่บรรดาผู้คน   (ซึ่งเขาเป็นคนที่บึกบึน) เขาจึงได้ตั๊กบีร และส่งเสียงดังในการตั๊กบีรนั้น โดยเขายังคงตั๊กบีรต่อไป และส่งเสียงดังในตั๊กบีร จนกระทั่ง ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของเขา และเมื่อท่านได้ตื่นขึ้นมา บรรดาผู้คนก็ร้องทุกข์กับท่านถึงเรื่องที่ได้ประสบกับพวกเขา (คือการตื่นไม่ทันเวลาซุบฮ์) ท่านกล่าวว่า ไม่เป็นไร หรือกล่าวว่า ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ไปกันต่อเถอะ ดังนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางต่อ และเมื่อเดินทางออกมาไม่ไกลนัก ท่านก็แวะพักโดยเรียกหาน้ำเพื่ออาบน้ำละหมาด  แล้วท่านก็อาบน้ำละหมาด และให้ประกาศการละหมาด (อะซานและอิกอมะห์)  โดยท่านได้นำละหมาดบรรดาผู้คน หลังจากเสร็จการละหมาด และเห็นชายผูหนึ่งปลีกตัวออกไปโดยไม่ได้ละหมาดรวมกับคนอื่น ท่านกล่าวว่า อะไรที่ห้ามเจ้าไม่ให้ละหมาดพร้อมกับคนอื่นหรือ เขาตอบว่า ฉันมีญะนาบะห์และไม่มีน้ำอาบ ท่านกล่าวว่า จงใช้ฝุ่น (ทำตะยัมมุม) ซึ่งมันเพียงพอแก่เจ้าแล้ว
                หลังจากนั้นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็เดินทางต่อ บรรดาผู้คนได้ร้องทุกข์ต่อท่านจากความกระหายน้ำ ดังนั้นท่านจึงแวะพัก แล้วชายคนหนึ่งมา (อบูรอญาอ์ ผู้รายงานได้เอ่ยชื่อของเขาด้วยแต่ เอาวฟ์ ได้ลืมชื่อของเขา แต่รายงานอื่นระบุชื่อว่า เขาคือ อิมรอน บิน ฮุศ็อยน์) และได้เรียก อาลี มาด้วย ท่านกล่าวว่า เจ้าทั้งสองจงไปหาน้ำ  แล้วทั้งสองก็ออกไปค้นหาจนได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขี่อุฐ โดยที่สองข้างลำตัวเธอมีถุงน้ำขนาดใหญ่ ทั้งสองได้ถามเธอว่า  เราจะหาน้ำได้ที่ไหน ?  เธอตอบว่า ฉันอยู่ที่นั่นเมื่อวานนี้เวลาเดียวกันนี้ และผู้คนของเรากลุ่มหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งสองได้กล่าวกับเธอว่า : ไปกันเถอะ เธอถามว่า : ไปไหน ? ทั้งสองตอบว่า ไปหารอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เธอกล่าวว่า : คนที่ถูกเรียกว่าเปลี่ยนศาสนาหรือ ?  ทั้งสองตอบว่า  ใช่คนเดียวกัน ตามมาเถอะ และทั้งสองได้พาเธอมาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม   และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง  เขากล่าวว่า พวกเขาได้ช่วยให้เธอลงจากหลังอูฐของเธอ  และท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เรียกให้เอาภาชานะมา แล้วท่านก็แหวกปากถุงน้ำและรินน้ำใส่ภาชานะนั้น หลังจากนั้นท่านได้ผูกปากถุงน้ำไว้และเปิดท่อเทน้ำ  แล้วร้องเรียกบรรดาผู้คน : พวกท่านจงมาดื่มน้ำและนำไปให้น้ำสัตว์ ดังนั้นบรรดาผู้คนต่างก็ดื่มน้ำและนำไปให้น้ำสัตว์ตามต้องการ  และสุดท้ายท่านได้ให้ภาชานะบรรจุน้ำแก่ผู้ที่มีญะนาบะห์ พร้อมทั้งกล่าวว่า เอาน้ำไปชำระร่างกายของเจ้า
                ในเหตุการณ์ต่างๆนี้ หญิงนั้นได้ยืนดูสิ่งที่ท่านทำกับน้ำของเธอ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า เมื่อถุงน้ำได้ถูกนำกลับคืนไป ดูเหมือนว่าน้ำไม่ได้พร่องไปเลย แต่มันเต็มปิ่มมากกว่าตอนแรกเสียอีก ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว่า จงเจ้าจงรวบรวมให้แก่นาง ดังนั้นพวกเขาจึงรวบรวมให้แก่นางไม่ว่าจะเป็น อัจวะห์ (อินทผลัมอย่างดี) แป้งหยาบ และแป้งละเอียด อีกทั้งพวกเขายังรวบรวมอาหารให้แก่เธอโดยเอาใส่ไว้ในห่อผ้าแล้วพวกเขาได้ช่วยให้เธอขึ้นขี่อูฐ โดยนำห่อผ้าไว้ด้านหน้าของเธอ  ท่านนบีได้กล่าวกับเธอว่า เธอรู้ไหม เราไม่ได้เทน้ำของเธอให้พร่องแต่อย่างใด แต่อัลลอฮ์ต่างหาก พระองค์คือผู้ทรงให้น้ำแก่เรา
                เมื่อเธอกลับมาถึงครอบครัวล่าช้ากว่าปกติ พวกเขาได้ถามเธอว่า อะไรที่หน่วงเวลาเธอไว้หรือ ? เธอตอบว่า : เป็นเรื่องแปลก ชายสองคนมาพบฉัน แล้วเขาทั้งสองได้พาฉันไปหาผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาถูกเรียกว่า ผู้เปลี่ยนศาสนา และเขาได้ทำเช่นนั้น,เช่นนี้ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ เขาคือผู้บุรุษผู้ยอดเยี่ยมที่สุดระหว่างนี้กับนี้ เธอพูดพลางใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ชูขึ้นยังท้องฟ้า หมายถึงฟ้าและแผ่นดิน หรือว่าเขาเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์จริงๆ
                หลังจากนั้นบรรดามุสลิมได้ใช้สถานที่รอบหมู่บ้านของเธอฝึกซ้อมในการสงครามกับบรรดามุชริกีนแต่ไม่เคยโจมตีหมู่บ้านของเธอเลย เธอจึงได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเธอว่า ฉันคิดว่ากลุ่มคนพวกนี้ได้จงใจที่จะไม่ก่อสงครามแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับอิสลาม ?  แล้วพวกเขาก็ตอบรับคำของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ารับอิสลาม”
อบู อับดิลลาฮ์ กล่าวว่า : ศ่อบ่าอ้า หมายถึง ออกจากศาสนาหนึ่งไปสู่อีกศาสนาหนึ่ง
และอบู อัลอาลิยะห์ กล่าวว่า : อัศศอบีอีน ในต้นฉบับใช้คำว่า อัศศอบีอูน : คือคนกลุ่มหนึ่งจากชาวคัมภีร์ พวกเขาได้อ่านคัมภีร์อัสซะบูร

บุคอรี/หมวดที่ 7/บทที่ 6/ฮะดีษเลขที่ 344

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยอาบน้ำละหมาดหลังถ่ายปัสสาวะของท่านนบี



عَنْ كُرَيْبٍ، مَوْلَى ابْنِ عَبَّاسٍ عَنْ أُسَامَةَ بْنِ زَيْدٍ، أَنَّهُ سَمِعَهُ يَقُولُ دَفَعَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنْ عَرَفَةَ حَتَّى إِذَا كَانَ بِالشِّعْبِ نَزَلَ فَبَالَ، ثُمَّ تَوَضَّأَ وَلَمْ يُسْبِغِ الْوُضُوءَ‏.‏ فَقُلْتُ الصَّلاَةَ يَا رَسُولَ اللَّهِ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ الصَّلاَةُ أَمَامَكَ ‏"‏‏.‏ فَرَكِبَ، فَلَمَّا جَاءَ الْمُزْدَلِفَةَ نَزَلَ فَتَوَضَّأَ، فَأَسْبَغَ الْوُضُوءَ، ثُمَّ أُقِيمَتِ الصَّلاَةُ فَصَلَّى الْمَغْرِبَ، ثُمَّ أَنَاخَ كُلُّ إِنْسَانٍ بَعِيرَهُ فِي مَنْزِلِهِ، ثُمَّ أُقِيمَتِ الْعِشَاءُ فَصَلَّى وَلَمْ يُصَلِّ بَيْنَهُمَا‏ 






                  กุรอยบ์ คนรับใช้ของ อิบนิอับบาส รายงานว่า เขาได้ยิน อุมซามะห์ บินเซด กล่าวว่า เมื่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม  เดินทางออกจากอะรอฟะห์มาถึงที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง ท่านแวะชั่วครู่ แล้วถ่ายปัสสาวะ หลังจากนั้นท่านก็อาบน้ำละหมาด โดยไม่พิถีพิถัน  ฉันบอกกับท่านว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ได้เวลาละหมาดแล้วครับ ท่านกล่าวว่า ไปละหมาดข้างหน้าเถอะ,
                ท่านเดินทางต่อจนกระทั่งมาถึง มุดดะลีฟะห์ จึงได้แวะ และอาบน้ำละหมาดใหม่อย่างพิถีพิถัน หลังจากทำการอิกอมะห็เรียบร้อยแล้ว ท่านจึงได้นำละหมาดมัฆริบ  เมื่อเสร็จแล้วทุกคนก็ให้อูฐคุกเข่าหมอบอยู่หน้าที่พักของตนเอง หลังจากนั้นก็ทำการอิกอมะห็เพื่อละหมาดอีชาอ์ แล้วท่านก็นำละหมาด โดยไม่ได้ละหมาด (ซุนนะห์) ใดๆระหว่างมัฆริบกับอีชาอ์



บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่6/ฮะดีษเลขที่ 139


วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าการกรณีสงสัยว่ามีบางสิงที่ทำให้เสียน้ำละหมาดขณะละหมาด




وَحَدَّثَنِي عَمْرٌو النَّاقِدُ، وَزُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، ح وَحَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ، جَمِيعًا عَنِ ابْنِ عُيَيْنَةَ، قَالَ عَمْرٌو حَدَّثَنَا سُفْيَانُ بْنُ عُيَيْنَةَ، عَنِ الزُّهْرِيِّ، عَنْ سَعِيدٍ، وَعَبَّادِ بْنِ تَمِيمٍ، عَنْ عَمِّهِ، شُكِيَ إِلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم الرَّجُلُ يُخَيَّلُ إِلَيْهِ أَنَّهُ يَجِدُ الشَّىْءَ فِي الصَّلاَةِ قَالَ ‏"‏ لاَ يَنْصَرِفُ حَتَّى يَسْمَعَ صَوْتًا أَوْ يَجِدَ رِيحًا ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أَبُو بَكْرٍ وَزُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ فِي رِوَايَتِهِمَا هُوَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ زَيْدٍ  




                    อับบาด อิบนุ ตะมีม รายงานจากลุงของเขา (อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซัยด์ อิบนุ อาศิม อัลมาซะนีย์ อัลอันศอรีย์) ว่า ชายผู้หนึ่งได้ร้องทุกข์ต่อท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า เขามักจะสงสัยตัวเองว่า มีบางสิ่งทำให้เขาเสียน้ำละหมาดในขณะละหมาด ท่านตอบว่า  ยังไม่ต้องออกจากละหมาดจนกว่าจะได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นเสียก่อน
                อบูบักร์ และซุฮัยร์ อิบนุ ฮัรบ์ ได้กล่าวในรายงานของเขาทั้งสองว่า (ลุงของอับบาด ที่เป็นศอฮาบะห์) คือ อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซัยด์ 

มุสลิม/หมวดที่3/บทที่26/ฮะดีษเลขที่ 0702

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์



حَدَّثَنَا عُبَيْدُ بْنُ إِسْمَاعِيلَ، قَالَ حَدَّثَنَا أَبُو أُسَامَةَ، عَنْ هِشَامٍ، عَنْ أَبِيهِ، عَنْ عَائِشَةَ، قَالَتْ خَرَجْنَا مُوَافِينَ لِهِلاَلِ ذِي الْحِجَّةِ، فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مَنْ أَحَبَّ أَنْ يُهِلَّ بِعُمْرَةٍ فَلْيُهْلِلْ، فَإِنِّي لَوْلاَ أَنِّي أَهْدَيْتُ لأَهْلَلْتُ بِعُمْرَةٍ ‏"‏‏.‏ فَأَهَلَّ بَعْضُهُمْ بِعُمْرَةٍ، وَأَهَلَّ بَعْضُهُمْ بِحَجٍّ، وَكُنْتُ أَنَا مِمَّنْ أَهَلَّ بِعُمْرَةٍ، فَأَدْرَكَنِي يَوْمُ عَرَفَةَ وَأَنَا حَائِضٌ، فَشَكَوْتُ إِلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَقَالَ ‏"‏ دَعِي عُمْرَتَكِ، وَانْقُضِي رَأْسَكِ وَامْتَشِطِي، وَأَهِلِّي بِحَجٍّ ‏"‏‏.‏ فَفَعَلْتُ حَتَّى إِذَا كَانَ لَيْلَةُ الْحَصْبَةِ أَرْسَلَ مَعِي أَخِي عَبْدَ الرَّحْمَنِ بْنَ أَبِي بَكْرٍ، فَخَرَجْتُ إِلَى التَّنْعِيمِ، فَأَهْلَلْتُ بِعُمْرَةٍ مَكَانَ عُمْرَتِي‏.‏ قَالَ هِشَامٌ وَلَمْ يَكُنْ فِي شَىْءٍ مِنْ ذَلِكَ هَدْىٌ وَلاَ صَوْمٌ وَلاَ صَدَقَةٌ





                 ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า พวกเราได้ออกเดินทางไปทำฮัจญ์ตอนต้นเดือนซุ้ลฮิจญะห์ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ผู้ใดปรารถนาจะครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์ก็ทำเถิด แต่ว่าฉันนั้น หากไม่มีสัตว์ที่จะเชือดพลีมาด้วยฉันก็จะครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์เหมือนกัน ดังนั้นศอฮาบะห์บางคนจึงครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์ และบางคนก็ครองเอียะห์รอมเพื่อทำฮัจญ์อย่างเดียว ส่วนฉัน (ท่านหญิงอาอิชะห์) อยู่ในหมู่ของผู้ที่ครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์ แต่เมื่อวันอะรอฟะห์มาถึง ฉันก็มีเลือดประจำเดือน ดังนั้นฉันจึงร้องทุกข์ต่อท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านกล่าวว่เธอจงละการทำอุมเราะห์ของเธอไว้ก่อน และจงแก้ผมออกแล้วหวีมันให้เรียบร้อย และเธอจงครองเอียะห์รอมเพื่อทำฮัจญ์ ดังนั้นฉันจึงทำตามที่ท่านสั่ง จนกระทั่งย่างเข้าสู่คืนฮัสบะห์ (สถานที่แวะพักอยู่ระหว่างมีนากับมักกะห์) ท่านก็ให้อับดุลเราะห์มาน อิบนุ อบีบักร์ พี่ชายของฉัน พาฉันออกไปที่ตันอีม แล้วฉันก็ครองเอียะห์รอมเพื่อทำอุมเราะห์ สถานที่เริ่มต้นการทำอุมเราะห์ของฉัน
                ฮิชาม กล่าวว่า เกี่ยวกับกรณีนี้ท่านนบีไม่ได้สั่งให้เชือดสัตว์พลี หรือใช้ให้ถือศีลอด หรือทำศอะเกาะห์แต่อย่างใด
   
บุคอรี/หมวดที่6/บทที่16/ฮะดีษเลขที่ 317

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วย อัลลอฮ์จะห้ามไฟนรกไม่ให้สัมผัส





عَنْ عُبَادَةَ بْنِ الصَّامِتِ، أَنَّهُ قَالَ دَخَلْتُ عَلَيْهِ وَهُوَ فِي الْمَوْتِ فَبَكَيْتُ فَقَالَ مَهْلاً لِمَ تَبْكِي فَوَاللَّهِ لَئِنِ اسْتُشْهِدْتُ لأَشْهَدَنَّ لَكَ وَلَئِنْ شُفِّعْتُ لأَشْفَعَنَّ لَكَ وَلَئِنِ اسْتَطَعْتُ لأَنْفَعَنَّكَ ثُمَّ قَالَ وَاللَّهِ مَا مِنْ حَدِيثٍ سَمِعْتُهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم لَكُمْ فِيهِ خَيْرٌ إِلاَّ حَدَّثْتُكُمُوهُ إِلاَّ حَدِيثًا وَاحِدًا وَسَوْفَ أُحَدِّثُكُمُوهُ الْيَوْمَ وَقَدْ أُحِيطَ بِنَفْسِي سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مَنْ شَهِدَ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ حَرَّمَ اللَّهُ عَلَيْهِ النَّارَ ‏"‏ ‏.‏ 





                อัศซุนาบิฮีย์ รายงานจาก อุบาดะห์ บินอัศซอมิต โดยกล่าวว่า ฉันไปเยี่ยมเขา (อุบาดะห์) ขณะที่เขาเจ็บหนัก แล้วฉันก็ร้องไห้  เขากล่าวว่า สักครู่เถอะ ร้องไห้ทำไม ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าฉันถูกร้องขอให้เป็นพยานละก็ ฉันจะเป็นพยานให้ท่านอย่างแน่นอน  ถ้าฉันถูกขอให้ช่วยเหลือ ฉันก็จะช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน  และหากฉันมีความสามารถฉันก็จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ท่าน  เขากล่าวต่อไปว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์  ไม่มีฮะดีษบทใดที่ฉันเคยได้ยินจากปากของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่จะดียิ่ง นอกจากฉันได้บอกแก่พวกท่านหมดแล้ว นอกจากฮะดีษบทเดียว ที่ฉันจะเล่าให้พวกท่านฟังในวันนี้  ก่อนที่ฉันจะสิ้นลม 



                ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า  “ผู้ใดที่ปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์, พระองค์อัลลอฮ์จะห้ามไฟนรกไม่ให้สัมผัสเขา“

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่12/ฮะดีษเลขที่ 0045

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิาบุคอรี ว่าด้วยที่เป็นความดีที่แท้จริง




وَقَوْلِ اللَّهِ تَعَالَى ‏{‏لَيْسَ الْبِرَّ أَنْ تُوَلُّوا وُجُوهَكُمْ قِبَلَ الْمَشْرِقِ وَالْمَغْرِبِ وَلَكِنَّ الْبِرَّ مَنْ آمَنَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ وَالْمَلاَئِكَةِ وَالْكِتَابِ وَالنَّبِيِّينَ وَآتَى الْمَالَ عَلَى حُبِّهِ ذَوِي الْقُرْبَى وَالْيَتَامَى وَالْمَسَاكِينَ وَابْنَ السَّبِيلِ وَالسَّائِلِينَ وَفِي الرِّقَابِ وَأَقَامَ الصَّلاَةَ وَآتَى الزَّكَاةَ وَالْمُوفُونَ بِعَهْدِهِمْ إِذَا عَاهَدُوا وَالصَّابِرِينَ فِي الْبَأْسَاءِ وَالضَّرَّاءِ وَحِينَ الْبَأْسِ أُولَئِكَ الَّذِينَ صَدَقُوا وَأُولَئِكَ هُمُ الْمُتَّقُونَ‏}‏‏.‏ وَقَوْلِهِ ‏{‏قَدْ أَفْلَحَ الْمُؤْمِنُونَ‏}‏ الآيَةَ‏.‏






                   ด้วยคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “หาใช่เป็นความดีแต่อย่างใดในการที่พวกเจ้าหันหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก แต่ทว่าความดีนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่อัลลอฮ์,และวันปรโลก, ศัทธาต่อมะลาอิกะห์, ต่อคัมภีร์,และบรรดานบี อีกทั้งบริจาคทรัพย์ในขณะที่เขามีความรักในทรัพย์นั้น ให้แก่บรรดาญาติสนิท,บรรดาเด็กกำพร้า,บรรดาผู้ขัดสน,ผู้พลัดถิ่น, และแก่บรรดาผู้ร้องขอ และเพื่อการไถ่ทาส โดยที่เขาดำรงละหมาด,บริจาคซะกาต


                "และบรรดาผู้รักษาสัญญาของเขาอย่างครบถ้วนเมื่อพวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญา และบรรดาผู้อดทนในยามวิกฤติ,ในภาวะขับขัน และขณะเผชิญหน้ากับศัตรูในศึกสงคราม, พวกเขานี่แหละคือผู้สัตย์จริง และพวกเขาเหล่านี้คือผู้ยำเกรง "(ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 177)


               แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาได้ประสพชัยชนแล้ว  (ซูเราะห์อัลมุอ์มีนูน อายะห์ที่ 1) 

บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่3/คำนำ

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยหลักปฏิบัติอิสลาม



عَنِ ابْنِ عُمَرَ ـ رضى الله عنهما ـ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ بُنِيَ الإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ شَهَادَةِ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ، وَإِقَامِ الصَّلاَةِ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ، وَالْحَجِّ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ ‏"‏‏.‏ 


                อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านทั้งสองด้วยเถิด) รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

                อิสลามวางอยู่บนฐานรากห้าประการคือ (1) การปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่ควรแก่การสักการะ) นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ และ (2) การดำรงละหมาด (3) การจ่ายซะกาต (4) การทำฮัจญ์  และ (5) การถือศีลอดเดือนรอมฏอน


บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่2/ฮะดีษเลขที่8

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการอาบน้ำละหมาดและขอดุอาอ์ก่อนนอน




عَنِ الْبَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ، قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِذَا أَتَيْتَ مَضْجَعَكَ فَتَوَضَّأْ وُضُوءَكَ لِلصَّلاَةِ، ثُمَّ اضْطَجِعْ عَلَى شِقِّكَ الأَيْمَنِ، ثُمَّ قُلِ اللَّهُمَّ أَسْلَمْتُ وَجْهِي إِلَيْكَ، وَفَوَّضْتُ أَمْرِي إِلَيْكَ، وَأَلْجَأْتُ ظَهْرِي إِلَيْكَ، رَغْبَةً وَرَهْبَةً إِلَيْكَ، لاَ مَلْجَأَ وَلاَ مَنْجَا مِنْكَ إِلاَّ إِلَيْكَ، اللَّهُمَّ آمَنْتُ بِكِتَابِكَ الَّذِي أَنْزَلْتَ، وَبِنَبِيِّكَ الَّذِي أَرْسَلْتَ‏.‏ فَإِنْ مُتَّ مِنْ لَيْلَتِكَ فَأَنْتَ عَلَى الْفِطْرَةِ، وَاجْعَلْهُنَّ آخِرَ مَا تَتَكَلَّمُ بِهِ ‏"‏‏.‏ قَالَ فَرَدَّدْتُهَا عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَلَمَّا بَلَغْتُ ‏"‏ اللَّهُمَّ آمَنْتُ بِكِتَابِكَ الَّذِي أَنْزَلْتَ ‏"‏‏.‏ قُلْتُ وَرَسُولِكَ‏.‏ قَالَ ‏"‏ لاَ، وَنَبِيِّكَ الَّذِي أَرْسَلْتَ ‏"‏‏ 


                อัลบัรรออ์ บินอาซิบ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าจะไปยังที่นอนของเจ้า ก็จงอาบน้ำละหมาดเหมือนกับอาบน้ำละหมาดเพื่อจะละหมาด, และจงเริ่มนอนด้วยการตะแคงด้านขวา หลังจากนั้นก็กล่าว (ดุอาอ์) ต่อไปนี้




اللَّهُمَّ أَسْلَمْتُ وَجْهِي إِلَيْكَ، وَفَوَّضْتُ أَمْرِي إِلَيْكَ، وَأَلْجَأْتُ ظَهْرِي إِلَيْكَ، رَغْبَةً وَرَهْبَةً إِلَيْكَ، لاَ مَلْجَأَ وَلاَ مَنْجَا مِنْكَ إِلاَّ إِلَيْكَ، اللَّهُمَّ آمَنْتُ بِكِتَابِكَ الَّذِي أَنْزَلْتَ، وَبِنَبِيِّكَ الَّذِي أَرْسَلْتَ‏.‏ فَإِنْ مُتَّ مِنْ لَيْلَتِكَ فَأَنْتَ عَلَى الْفِطْرَةِ، وَاجْعَلْهُنَّ آخِرَ مَا تَتَكَلَّمُ بِهِ 


                เขากล่าวว่า ฉันได้ทวนข้อความนี้กับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเมื่อฉันอ่านมาถึงประโยคที่ว่า    اللَّهُمَّ آمَنْتُ بِكِتَابِكَ الَّذِي أَنْزَلْتَ  ฉันกล่าวต่อด้วยคำว่า    وَرَسُولِكَ   ท่านนบีกล่าวว่า ไม่ใช่  ที่ถูกต้องคือคำนี้     وَنَبِيِّكَ الَّذِي أَرْسَلْتَ 



บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่75/ฮะดีษเลขที่ 246

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยรอยประทับของการเป็นนบี



عَنِ الْجَعْدِ، قَالَ سَمِعْتُ السَّائِبَ بْنَ يَزِيدَ، يَقُولُ ذَهَبَتْ بِي خَالَتِي إِلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَقَالَتْ يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنَّ ابْنَ أُخْتِي وَجِعٌ‏.‏ فَمَسَحَ رَأْسِي وَدَعَا لِي بِالْبَرَكَةِ، ثُمَّ تَوَضَّأَ فَشَرِبْتُ مِنْ وَضُوئِهِ، ثُمَّ قُمْتُ خَلْفَ ظَهْرِهِ، فَنَظَرْتُ إِلَى خَاتَمِ النُّبُوَّةِ بَيْنَ كَتِفَيْهِ مِثْلِ زِرِّ الْحَجَلَةِ‏.‏ 




                 อัลญะอด์ รายงานว่า ฉันเคยได้ยิน อัสซาอิบ อิบนุ ยะซีด กล่าวว่า น้าสาวของฉันได้พาฉันไปหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ลูกของพี่สาวฉันคนนี้เป็นโรคปวดขา ดังนั้นท่านได้เอามือของท่านลูบศีรษะฉันและขอดุอาอ์ให้ฉันมีความจำเริญ หลังจากนั้นท่านก็อาบน้ำละหมาด แล้วฉันก็ดื่มน้ำที่เหลือจากน้ำละหมาดนั้น แล้วลุกขึ้นยืนทางด้านหลังของท่าน ฉันจึงได้เห็นรอยประทับของการเป็นนบีระหว่างบ่าทั้งสองของท่าน มันเหมือนกับหัวน๊อตของเต็นท์ (บางท่านอธิบายว่า เหมือนไข่นกกระทา)

บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่41/ฮะดีษเลขที่ 190

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยคำวิงวอนจะถูกตอบรับกราบใดไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่ออัลลอฮ์




عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ لِكُلِّ نَبِيٍّ دَعْوَةٌ مُسْتَجَابَةٌ فَتَعَجَّلَ كُلُّ نَبِيٍّ دَعْوَتَهُ وَإِنِّي اخْتَبَأْتُ دَعْوَتِي شَفَاعَةً لأُمَّتِي يَوْمَ الْقِيَامَةِ فَهِيَ نَائِلَةٌ إِنْ شَاءَ اللَّهُ مَنْ مَاتَ مِنْ أُمَّتِي لاَ يُشْرِكُ بِاللَّهِ شَيْئًا ‏"‏  




                อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ทุกนบีนั้น การวิงวอนของจะถูกตอบรับ ดังนั้นบรรดานบีจึงต่างรีบร้อนขอดุอาอ์กัน  แต่ฉันปรารถนาจะสงวนคำวิงวอนของฉันไว้ เพื่อให้คำวิงวอนนั้นมีผลต่อการขอความช่วยเหลือประชาชาติของฉันในวันกิยามะห์  ซึ่งมันจะถูกตอบรับ หากพระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์ คือผู้ใดในหมู่ประชาชาติของฉันที่เสียชีวิตโดยไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่ออัลลอฮ์”

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่88/ฮะดีษเลขที่ 0389

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยเหตุการณ์อิสรอ-เมียะรอจ




عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أُتِيتُ بِالْبُرَاقِ - وَهُوَ دَابَّةٌ أَبْيَضُ طَوِيلٌ فَوْقَ الْحِمَارِ وَدُونَ الْبَغْلِ يَضَعُ حَافِرَهُ عِنْدَ مُنْتَهَى طَرْفِهِ - قَالَ فَرَكِبْتُهُ حَتَّى أَتَيْتُ بَيْتَ الْمَقْدِسِ - قَالَ - فَرَبَطْتُهُ بِالْحَلْقَةِ الَّتِي يَرْبِطُ بِهِ الأَنْبِيَاءُ - قَالَ - ثُمَّ دَخَلْتُ الْمَسْجِدَ فَصَلَّيْتُ فِيهِ رَكْعَتَيْنِ ثُمَّ خَرَجْتُ فَجَاءَنِي جِبْرِيلُ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - بِإِنَاءٍ مِنْ خَمْرٍ وَإِنَاءٍ مِنْ لَبَنٍ فَاخْتَرْتُ اللَّبَنَ فَقَالَ جِبْرِيلُ صلى الله عليه وسلم اخْتَرْتَ الْفِطْرَةَ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ فَقِيلَ مَنْ أَنْتَ قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِآدَمَ فَرَحَّبَ بِي وَدَعَا لِي بِخَيْرٍ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ الثَّانِيَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ ‏.‏ فَقِيلَ مَنْ أَنْتَ قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِابْنَىِ الْخَالَةِ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ وَيَحْيَى بْنِ زَكَرِيَّاءَ صَلَوَاتُ اللَّهِ عَلَيْهِمَا فَرَحَّبَا وَدَعَوَا لِي بِخَيْرٍ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِي إِلَى السَّمَاءِ الثَّالِثَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ ‏.‏ فَقِيلَ مَنْ أَنْتَ قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ صلى الله عليه وسلم ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِيُوسُفَ صلى الله عليه وسلم إِذَا هُوَ قَدْ أُعْطِيَ شَطْرَ الْحُسْنِ فَرَحَّبَ وَدَعَا لِي بِخَيْرٍ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ الرَّابِعَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - قِيلَ مَنْ هَذَا قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ ‏.‏ قَالَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِإِدْرِيسَ فَرَحَّبَ وَدَعَا لِي بِخَيْرٍ قَالَ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ ‏{‏ وَرَفَعْنَاهُ مَكَانًا عَلِيًّا‏}‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ الْخَامِسَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ مَنْ هَذَا قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِهَارُونَ صلى الله عليه وسلم فَرَحَّبَ وَدَعَا لِي بِخَيْرٍ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ السَّادِسَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ عَلَيْهِ السَّلاَمُ ‏.‏ قِيلَ مَنْ هَذَا قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِمُوسَى صلى الله عليه وسلم فَرَحَّبَ وَدَعَا لِي بِخَيْرٍ ‏.‏ ثُمَّ عَرَجَ بِنَا إِلَى السَّمَاءِ السَّابِعَةِ فَاسْتَفْتَحَ جِبْرِيلُ فَقِيلَ مَنْ هَذَا قَالَ جِبْرِيلُ ‏.‏ قِيلَ وَمَنْ مَعَكَ قَالَ مُحَمَّدٌ صلى الله عليه وسلم ‏.‏ قِيلَ وَقَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ قَالَ قَدْ بُعِثَ إِلَيْهِ ‏.‏ فَفُتِحَ لَنَا فَإِذَا أَنَا بِإِبْرَاهِيمَ صلى الله عليه وسلم مُسْنِدًا ظَهْرَهُ إِلَى الْبَيْتِ الْمَعْمُورِ وَإِذَا هُوَ يَدْخُلُهُ كُلَّ يَوْمٍ سَبْعُونَ أَلْفَ مَلَكٍ لاَ يَعُودُونَ إِلَيْهِ ثُمَّ ذَهَبَ بِي إِلَى السِّدْرَةِ الْمُنْتَهَى وَإِذَا وَرَقُهَا كَآذَانِ الْفِيَلَةِ وَإِذَا ثَمَرُهَا كَالْقِلاَلِ - قَالَ - فَلَمَّا غَشِيَهَا مِنْ أَمْرِ اللَّهِ مَا غَشِيَ تَغَيَّرَتْ فَمَا أَحَدٌ مِنْ خَلْقِ اللَّهِ يَسْتَطِيعُ أَنْ يَنْعَتَهَا مِنْ حُسْنِهَا ‏.‏ فَأَوْحَى اللَّهُ إِلَىَّ مَا أَوْحَى فَفَرَضَ عَلَىَّ خَمْسِينَ صَلاَةً فِي كُلِّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ فَنَزَلْتُ إِلَى مُوسَى صلى الله عليه وسلم فَقَالَ مَا فَرَضَ رَبُّكَ عَلَى أُمَّتِكَ قُلْتُ خَمْسِينَ صَلاَةً ‏.‏ قَالَ ارْجِعْ إِلَى رَبِّكَ فَاسْأَلْهُ التَّخْفِيفَ فَإِنَّ أُمَّتَكَ لاَ يُطِيقُونَ ذَلِكَ فَإِنِّي قَدْ بَلَوْتُ بَنِي إِسْرَائِيلَ وَخَبَرْتُهُمْ ‏.‏ قَالَ فَرَجَعْتُ إِلَى رَبِّي فَقُلْتُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَلَى أُمَّتِي ‏.‏ فَحَطَّ عَنِّي خَمْسًا فَرَجَعْتُ إِلَى مُوسَى فَقُلْتُ حَطَّ عَنِّي خَمْسًا ‏.‏ قَالَ إِنَّ أُمَّتَكَ لاَ يُطِيقُونَ ذَلِكَ فَارْجِعْ إِلَى رَبِّكَ فَاسْأَلْهُ التَّخْفِيفَ ‏.‏ - قَالَ - فَلَمْ أَزَلْ أَرْجِعُ بَيْنَ رَبِّي تَبَارَكَ وَتَعَالَى وَبَيْنَ مُوسَى - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - حَتَّى قَالَ يَا مُحَمَّدُ إِنَّهُنَّ خَمْسُ صَلَوَاتٍ كُلَّ يَوْمٍ وَلَيْلَةٍ لِكُلِّ صَلاَةٍ عَشْرٌ فَذَلِكَ خَمْسُونَ صَلاَةً ‏.‏ وَمَنْ هَمَّ بِحَسَنَةٍ فَلَمْ يَعْمَلْهَا كُتِبَتْ لَهُ حَسَنَةً فَإِنْ عَمِلَهَا كُتِبَتْ لَهُ عَشْرًا وَمَنْ هَمَّ بِسَيِّئَةٍ فَلَمْ يَعْمَلْهَا لَمْ تُكْتَبْ شَيْئًا فَإِنْ عَمِلَهَا كُتِبَتْ سَيِّئَةً وَاحِدَةً - قَالَ - فَنَزَلْتُ حَتَّى انْتَهَيْتُ إِلَى مُوسَى صلى الله عليه وسلم فَأَخْبَرْتُهُ فَقَالَ ارْجِعْ إِلَى رَبِّكَ فَاسْأَلْهُ التَّخْفِيفَ ‏.‏ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَقُلْتُ قَدْ رَجَعْتُ إِلَى رَبِّي حَتَّى اسْتَحْيَيْتُ مِنْهُ ‏"‏ 


                 อนัส บินมาลิก รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า บุร๊อก ได้ถูกนำมาให้ฉัน มันเป็นสัตว์สีขาว มีลำตัวยาว ขนาดใหญ่กว่าลาแต่เล็กกว่าล่อ  มันจะเก็บขาของมันไว้ด้านหลังจนมองไม่เห็น ท่านเล่าต่อไปว่า ฉันได้ขี่มันมาจนกระทั่งมันพาฉันมาถึงบัยตุ้ลมักดิส แล้วฉันก็ผูกมันไว้เสาประตูด้านหน้ามัสยิด ตรงที่บรรดานบีก่อนหน้านี้ได้กระทำ หลังจากนั้นฉันก็เข้าไปในมัสยิด และได้ละหมาด (ซุนนะห์) สองรอกอะห์ แล้วฉันก็ออกมา โดยที่ญีบรีล อลัยฮิสสลาม ได้นำภาชนะใส่น้ำเมา และภาชนะใส่นมมาให้ฉัน แต่ฉันเลือกหยิบภาชนะที่ใส่นม ญิบรีล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงได้กล่าวว่า ท่านได้เลือกเอาความบริสุทธิ์
                หลังจากนั้นเขาก็พาเราขึ้นไปบนฟ้า โดยที่ญีบรีลขอให้เปิดประตูฟ้า จึงมีเสียงถามว่า เจ้าเป็นใคร เขาตอบว่า ญีบรีล แล้วมีเสียงถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ  เขาตอบว่า ใช่เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดออกให้เรา ทันใดนั้นฉันได้พบกับนบีอาดัม ซึ่งท่านได้ต้อนรับฉันและขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้แก่ฉัน 
               หลังจากนั้นเขาพาเราขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่สอง โดยญีบรีล อลัยฮิสสลาม ได้ขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญีบรีล แล้วมีเสียงถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันได้พบลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคืออีซา บุตรของมัรยำ และนบียะห์ยา บุตรของนบีซะกะรียา ขออัลลอฮ์ทรงให้พรแก่ท่านทั้งสองด้วยเถิด ซึ่งท่านทั้งสองได้ต้อนรับและขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้แก่ฉัน
               จากนั้นเขาพาเราขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่สาม โดยญีบรีล ขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญิบรีล เสียงนั้นถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันก็พบนบียูซุบ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าท่านได้รับครึ่งหนึ่งของความงดงามของโลกนี้ ท่านได้ต้อนรับฉันและขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้แก่ฉัน
               ต่อจากนั้นเขาก็พาเราไปยังฟ้าชั้นที่สี่ โดยญีรีล อลัยฮิสสลาม ได้ขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญิบรีล เสียงนั้นถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูอัมหมัด  เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันได้พบนบีอิดรีส ซึ่งท่านให้การต้อนรับและขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้แก่ฉัน  ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงตรัส (เกี่ยวกับท่าน) ว่า  “เราได้ยกเขา (นบีอิดรีส) ในตำแหน่งที่สูง” (ซูเราะห์มัรยำ อายะห์ที่ 57)
               หลังจากนั้นเขาก็พาเราขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่ห้า  โดยญีบรีลขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญีบรีล เสียงนั้นถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันได้พบกับนบีฮารูณ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านได้ต้อนรับ และขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้แก่ฉัน
แล้วเขาก็พาเราขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่หก โดยญิบรีล อลัยฮิสสลาม ได้ขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญิบรีล เสียงนั้นถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดังนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันก็พบกับนบีมูซา ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม  ซึ่งท่านได้ต้อนรับ และขอดุอาอ์ในสิ่งที่ดีให้ฉัน
               ต่อมาเขาพาฉันขึ้นไปบนฟ้าชั้นที่เจ็ด โดยญิบรีล อลัยฮิสสลาม ได้ขอให้เปิดประตู จึงมีเสียงถามว่า ท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ญิบรีล  เสียงนั้นถามอีกว่า ใครมากับท่าน เขาตอบว่า มูฮัมหมัด เสียงนั้นถามต่อว่า เขาถูกเชิญมาหรือ เขาตอบว่า ใช่ เขาถูกเชิญมา ดั้งนั้นประตูฟ้าจึงถูกเปิดให้เรา ทันใดนั้นฉันก็พบนบีอิบรอฮีม ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังเอนกายพิงอยู่ที่ “บัยติ้ลมะอ์มูร” ( คฤหาสที่โอ่โถงและสวยงาม) ที่นั่นจะมีมะลาอิกะห์ 70,000 องค์เข้าไปเป็นประจำทุกวันโดยเมื่อกลับออกมาแล้วก็จะไม่เข้าไปที่นั่นอีกเลย
               หลังจากนั้นเขาก็พาฉันไปยัง “ซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา” (ที่สถิตย์ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง) ที่ใบของมันเหมือนหูช้าง และผลของมันเหมือนหม้อดินเผาใบใหญ่  โดยมีแสงเรืองรองแผ่กระจายปกคุลมไปทั่วจากคำสั่งของอัลลอฮ์ และเมื่อมันแผ่ปกคลุมสิ่งใด สิ่งนั้นนั้นก็จะเปลี่ยนไป,  จึงเป็นความสวยสดงดงามที่ไม่มีผู้ใดสามารถสาธยายได้ถึงการสรรสร้างของอัลลอฮ์
              แล้วพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงวะฮีย์ให้แก่ฉันว่า พระองค์ทรงกำหนดการละหมาดในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ห้าสิบเวลา หลังจากนั้นฉันก็ลงมาที่มูซา ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านกล่าวว่า องค์อภิบาลของเจ้าบัญญัติเรื่องใดให้แก่ประชาชาติของเจ้า ฉันตอบว่า พระองค์บัญญัติการละหมาดห้าสิบเวลา ท่านกล่าวว่า เจ้าจงกลับไปยังองค์อภิบาลของเจ้าเถิด และขอลดหย่อนต่อพระองค์ เพราะประชาชาติของเจ้าย่อมไม่สามารถปฏิบัติได้ครบถ้วน  และฉันเองก็เคยทดสอบและฝึกฝนชาวบะนีอิสรออีลมาแล้ว (และพบว่าพวกเขาอ่อนแอมากเกินกว่าที่จะรับภาระหนักเช่นนั้นได้) ท่านนบีกล่าวว่า ฉันจึงได้กลับไปยังองค์อภิบาลของฉัน โดยร้องขอว่า โอ้องค์อภิบาลของฉันได้โปรดลดหย่อนแก่ประชาชาติของฉันด้วยเถิด ดังนั้นพระองค์จึงทรงลดหย่อนให้แก่ฉันเหลือเพียงห้าเวลา หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่นบีมูซา แล้วกล่าวกับท่านว่า พระองค์ทรงลดหย่อนให้แก่ฉันเหลือเพียงห้าเวลา ท่านกล่าวว่า ประชาชาติของเจ้าจะไม่สามารถรับภาระนี้ จงกลับไปยังองค์อภิบาลของเจ้าอีกครั้งเถิด แล้วขอลดหย่อนต่อพระองค์อีก ดังนั้นฉันจึงเทียวไปเทียวมาระหว่างองค์อภิบาลของฉันผู้ทรงจำเริญและสูงส่ง กับนบีมูซา อลัยฮิสสลาม  จนกระทั่งพระองค์ทรงตรัสว่า โอ้มูฮัมหมัดเอ๋ย การละหมาดห้าเวลาในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งนั้น แต่ละเวลาละหมาดเทียบเท่ากับสิบ ดังนั้น (การละหมาดห้าเวลา) จึงเท่ากับการละหมาดห้าสิบเวลา  และผู้ใดตั้งใจกระทำความดีโดยที่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ก็จะถูกบันทึกให้กับเขาหนึ่งความดี  แต่หากเขาได้กระทำความดีนั้น ก็จะถูกบันทึกให้กับเขาสิบเท่าตัว และผู้ใดตั้งใจกระทำความชั่ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ความชั่วนั้นก็จะยังไม่ถูกบันทึก แต่หากเขาลงมือกระทำมัน ก็จะถูกบันทึกเพียงความชั่วเดียว
               แล้วฉันก็กลับมาจนกระทั่งมาถึงท่านนบีมูซา ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และแจ้งข่าวให้ท่านทราบ แต่ท่านก็ยังกล่าวอีกว่า จงกลับไปยังองค์อภิบาลของเจ้า และขอลดหย่อนต่อพระองค์อีก ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ฉันตอบกับท่านนบีมูซาว่า ฉันกลับไปหาองค์อภิบาลของฉัน (หลายครั้งเพื่อขอลดหย่อน) จนกระทั่งฉันละอายต่อพระองค์

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่76/ฮะดีษเลขที่ 0309