หะดิษ

หะดิษ
หะดิษต่างๆ

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรี ว่าด้วย ความรู้จะสูญหาย








، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِنَّ مِنْ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ أَنْ يُرْفَعَ الْعِلْمُ، وَيَثْبُتَ الْجَهْلُ، وَيُشْرَبَ الْخَمْرُ، وَيَظْهَرَ الزِّنَا ‏"‏‏.‏


            อนัส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งกาลอวสานนั้นคือ  ความรู้ (ในเรื่องของศาสนา) จะถูกนำกลับไป (โดยการเสียชีวิตของผู้รู้) และความโง่เขลาจะมาแทนที่, น้ำเมาจะถูกดื่ม (จนกลายเป็นเรืองปกติ) , การละเมิดทางเพศจะแพร่ระบาด"

( บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่21/ฮะดีษเลขที่ 80)

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555


หะดิษมุสลิม ว่าด้วยผู้ที่สวมเสื้อผ้าลากพื้น ผู้ทวงบุญคุณและผู้จำหน่ายสิ้นค้าโดยสาบานเท็จ



عَنْ أَبِي ذَرٍّ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ ثَلاَثَةٌ لاَ يُكَلِّمُهُمُ اللَّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يَنْظُرُ إِلَيْهِمْ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ ‏"‏ قَالَ فَقَرَأَهَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ثَلاَثَ مِرَارٍ ‏.‏ قَالَ أَبُو ذَرٍّ خَابُوا وَخَسِرُوا مَنْ هُمْ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الْمُسْبِلُ وَالْمَنَّانُ وَالْمُنَفِّقُ سِلْعَتَهُ بِالْحَلِفِ الْكَاذِبِ ‏"‏ ‏.‏


                 รายงานจาก อบีซัรริน ว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มีคนสามจำพวกที่พระองค์อัลลอฮ์จะไม่สนทนากับพวกเขาในวันกิยามะห์ พระองค์จะไม่มองพวกเขาและจะยังไม่ชำระพวกเขาให้พิสุทธิ์ และสำหับพวกเขานั้นจะได้รับการการลงโทษแสนสาหัส” เขากล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวย้ำเช่นนั้นสามครั้ง อบูซัรรินจึงถามว่า พวกที่พินาศและล้มเหลวเหล่านั้นคือใครหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “ผู้ที่สวมเสื้อผ้าลากพื้นด้วยความเย่อหยิ่ง, ผู้ที่ทวงบุญคุณ (หรือคนที่กีดกันผู้อื่นไม่ให้ได้รับปัจจัยในการดำรงชีพ ดูฮะดีษเลขที่ 0193) และผู้จำหน่ายสินค้าโดยคำสาบานเท็จ”

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่48/ฮะดีษเลขที่ 0192

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮ์มุสลิม ว่าด้วยการประกาศเชิญชวนให้มาละหมาด




حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ الْحَنْظَلِيُّ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَكْرٍ، ح وَحَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ رَافِعٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّزَّاقِ، قَالاَ أَخْبَرَنَا ابْنُ جُرَيْجٍ، ح وَحَدَّثَنِي هَارُونُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ، - وَاللَّفْظُ لَهُ - قَالَ حَدَّثَنَا حَجَّاجُ بْنُ مُحَمَّدٍ، قَالَ قَالَ ابْنُ جُرَيْجٍ أَخْبَرَنِي نَافِعٌ، مَوْلَى ابْنِ عُمَرَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ، أَنَّهُ قَالَ كَانَ الْمُسْلِمُونَ حِينَ قَدِمُوا الْمَدِينَةَ يَجْتَمِعُونَ فَيَتَحَيَّنُونَ الصَّلَوَاتِ وَلَيْسَ يُنَادِي بِهَا أَحَدٌ فَتَكَلَّمُوا يَوْمًا فِي ذَلِكَ فَقَالَ بَعْضُهُمُ اتَّخِذُوا نَاقُوسًا مِثْلَ نَاقُوسِ النَّصَارَى وَقَالَ بَعْضُهُمْ قَرْنًا مِثْلَ قَرْنِ الْيَهُودِ فَقَالَ عُمَرُ أَوَلاَ تَبْعَثُونَ رَجُلاً يُنَادِي بِالصَّلاَةِ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ يَا بِلاَلُ قُمْ فَنَادِ بِالصَّلاَةِ ‏"



              ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร รายงานว่า เมื่อบรรดามุสลิมเดินทางมาถึงนครมะดีนะห์ในช่วงแรกๆ พวกเขาได้รวมตัวกันและร่วมกันกะเกณฑ์เวลาละหมาด ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดทำหน้าประกาศเชิญชวน และพวกเขาได้ร่วมกันปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันหนึ่ง บางคนในหมู่พวกเขาได้เสนอให้ใช้ระฆัง เหมือนดั่งที่ชาวคริสต์ใช้กันอยู่ และบางคนก็เสนอว่าให้ใช้เขาสัตว์ที่เป่าแล้วมีเสียงดั่งพวกชาวยิว
                ท่านอุมัรเสนอว่า ทำไมจึงไม่แต่งตั้งใครสักคนให้ทำหน้าที่เรียกผู้คนให้มาละหมาด ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า โอ้บิล้าลเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด และจงประกาศเชิญชวนผู้คนสู่การละหมาด

มุสลิม/หมวดที่4/บทที่1/ฮะดีษเลขที่ 0735

หะดิษบุคอรีย์ ว่าด้วยโองการ(อายะฮ์)สุดท้ายที่ประทานลงมาแก่ท่านนบี



عَنْ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ، أَنَّ رَجُلاً، مِنَ الْيَهُودِ قَالَ لَهُ يَا أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ، آيَةٌ فِي كِتَابِكُمْ تَقْرَءُونَهَا لَوْ عَلَيْنَا مَعْشَرَ الْيَهُودِ نَزَلَتْ لاَتَّخَذْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ عِيدًا‏.‏ قَالَ أَىُّ آيَةٍ قَالَ ‏{‏الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلاَمَ دِينًا‏}‏‏.‏ قَالَ عُمَرُ قَدْ عَرَفْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ وَالْمَكَانَ الَّذِي نَزَلَتْ فِيهِ عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَهُوَ قَائِمٌ بِعَرَفَةَ يَوْمَ جُمُعَةٍ‏.‏


             อุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ รายงานว่า มีชาวยิวคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านอุมัรว่า โอ้นายแห่งบรรดาผู้ศรัทธา โองการในคัมภีร์ของพวกท่านที่พวกท่านอ่านมันนั้น หากถูกประทานให้แก่ชาวยิวละก็ พวกเราจะถือเอาวันที่ประทานเป็นวันเฉลิมฉลอง ท่านกล่าวว่า โองการไหนหรือ เขาตอบว่าโองการนี้ “วันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูณ์แล้ว และความเมตตาของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเปี่ยมล้น และข้าพอใจที่ให้อิสลามเป็นศาสนาแก่พวกเจ้า” อุมัร กล่าวว่า พวกเรารู้ดีถึงวันและสถานที่,ที่ประทานอายะห์ให้แก่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั่นคือขณะที่ท่านนบีอยู่ที่ทุ่งอะรอฟะห์ และเป็นวันศุกร์

บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่33/ฮะดีษเลขที่ 45

    อ้างอิงเพิ่มเติม  ฮะดีษเลขที่ 4407, 4606,7268

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮืมุสลิม ว่าด้วยกรณีผู้ปกครองละเลยหน้าที่



عَنْ أَبِي الْمَلِيحِ، أَنَّ عُبَيْدَ اللَّهِ بْنَ زِيَادٍ، عَادَ مَعْقِلَ بْنَ يَسَارٍ فِي مَرَضِهِ فَقَالَ لَهُ مَعْقِلٌ إِنِّي مُحَدِّثُكَ بِحَدِيثٍ لَوْلاَ أَنِّي فِي الْمَوْتِ لَمْ أُحَدِّثْكَ بِهِ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مَا مِنْ أَمِيرٍ يَلِي أَمْرَ الْمُسْلِمِينَ ثُمَّ لاَ يَجْهَدُ لَهُمْ وَيَنْصَحُ إِلاَّ لَمْ يَدْخُلْ مَعَهُمُ الْجَنَّةَ ‏"‏


           อบีมะลีฮ์ รายงานว่า อุบัยดุลลอฮ์ อิบนิซิยาด (ผู้ปกครองเมืองบัศเราะห์ในขณะนั้น) ได้ไปเยี่ยม มะอ์ก็อล บินยะซาร ตอนที่เขาป่วย ซึ่งมะอ์ก็อล ได้กล่าวกับเขาว่า ฉันจะเล่าฮะดีษบทหนึ่งให้ท่านฟัง ซึ่งถ้าฉันยังไม่ใกล้ตายละก็ ฉันคงจะไม่เล่าให้ฮะดีษบททนี้ให้ท่านฟังแน่ๆ
                ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าว่ว่า “ไม่มีผู้ปกครองคนใดที่ดูแลกิจการของบรรดามุสลิม แต่เขาละเลยหน้าที่และไม่อบรมตักเตือนผู้ใต้การปกครอง นอกจากเขาจะไม่ได้เขาสวรรค์พร้อมกับพวกเขาเหล่านั้นด้วย”

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่65/ฮะดีษเลขที่ 0264

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮืมุสลิม ว่าด้วยการสาบานต่อศาสนาอื่น และผู้ที่ฆ่าตัวตาย


أَنَّ ثَابِتَ بْنَ الضَّحَّاكِ أَخْبَرَهُ أَنَّهُ، بَايَعَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم تَحْتَ الشَّجَرَةِ وَأَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنْ حَلَفَ عَلَى يَمِينٍ بِمِلَّةٍ غَيْرِ الإِسْلاَمِ كَاذِبًا فَهُوَ كَمَا قَالَ وَمَنْ قَتَلَ نَفْسَهُ بِشَىْءٍ عُذِّبَ بِهِ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلَيْسَ عَلَى رَجُلٍ نَذْرٌ فِي شَىْءٍ لاَ يَمْلِكُهُ ‏"‏ ‏.‏

               ซาบิต บินเดาะฮ์ฮ๊าก ได้บอกกับเขา (ผู้รายงาน) โดยกล่าวว่า เขา (เป็นผู้หนึ่งที่) ได้ให้สัตยาบันต่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ภายใต้ต้นไม้ (บัยอะตุ้ลริดวาน) โดยท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ผู้ใดเจตนาสาบานด้วยศาสนาอื่น (ยอมรับศาสนาอื่นและยินดีออกจากอิสลาม) เพื่อโกหก (ในเรื่องที่สาบานนั้น) เขาก็เป็นดั่งคำสาบานที่เขากล่าว, และผู้ใดฆ่าตัวตายด้วยกับสิ่งใดก็ตามเขาจะถูกทรมานด้วยกับสิ่งนั้นในวันกิยามะห์, และคนหนึ่งจะไม่บน (นะซัร) ด้วยสิ่งใดที่เขาไม่มีกรรมสิทธิ์ในสิ่งนั้น”

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่49/ฮะดีษเลขที่ 0201

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยการตั้งชื่อเหมือนท่านนบีและการฝันเห็นท่านนบี



عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ تَسَمَّوْا بِاسْمِي وَلاَ تَكْتَنُوا بِكُنْيَتِي، وَمَنْ رَآنِي فِي الْمَنَامِ فَقَدْ رَآنِي، فَإِنَّ الشَّيْطَانَ لاَ يَتَمَثَّلُ فِي صُورَتِي، وَمَنْ كَذَبَ عَلَىَّ مُتَعَمِّدًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ ‏"‏‏


            อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “พวกเจ้าน่าจะตั้งชื่อด้วยกับชื่อของฉัน (ให้ตั้งชื่อที่ดี) แต่อย่าได้อย่าได้ตั้งสร้อย (ฉายา) ด้วยกับสร้อยของฉัน (คืออบูกอเซ็ม) และผู้ใดที่ฝันเห็นฉัน แท้จริงเขาได้เห็นฉันจริงๆ เพราะซัยตอนนั้นไม่สามารถจำแลงในรูปของฉันได้  และผู้ใดกล่าวเท็จต่อฉันโดยเจตนา ก็ให้เขาเตรียมที่นั่งสำหรับในนรก”

บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่38/ฮะดีษเลขที่ 110

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยผู้ที่กล่าวเท็จต่อท่านนบี




عَنْ عَبْدِ الْعَزِيزِ، قَالَ أَنَسٌ إِنَّهُ لَيَمْنَعُنِي أَنْ أُحَدِّثَكُمْ حَدِيثًا كَثِيرًا أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنْ تَعَمَّدَ عَلَىَّ كَذِبًا فَلْيَتَبَوَّأْ مَقْعَدَهُ مِنَ النَّارِ ‏"‏‏

            รายงานจาก อับดุลอะซีซ ว่า อนัส (บินมาลิก) กล่าวว่า  ความจริงที่ห้ามฉันไม่ให้บอกกับพวกท่านในเรื่องฮะดีษอย่างมากมาย เพราะแท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดเจตนากล่าวเท็จต่อฉันก็ให้เขาเตรียมที่นั่งสำหรับเขาในนรก”

บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่38/ฮะดีษเลขที่ 108

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการสาบานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ของมุสลิม



 سَمِعْتُ ابْنَ مَسْعُودٍ، يَقُولُ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مَنْ حَلَفَ عَلَى مَالِ امْرِئٍ مُسْلِمٍ بِغَيْرِ حَقِّهِ لَقِيَ اللَّهَ وَهُوَ عَلَيْهِ غَضْبَانُ ‏"‏ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ ثُمَّ قَرَأَ عَلَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِصْدَاقَهُ مِنْ كِتَابِ اللَّهِ ‏{‏ إِنَّ الَّذِينَ يَشْتَرُونَ بِعَهْدِ اللَّهِ وَأَيْمَانِهِمْ ثَمَنًا قَلِيلاً‏}‏ إِلَى آخِرِ الآيَةِ ‏.‏


                 ผู้รายงานกล่าวว่า ฉันเคยได้ยิน  (อับดุลลอฮ์) อิบนิมัสอู๊ด กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดเจตนาสาบานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ของมุสลิม ทั้งที่มันไม่ใช่สิทธิ์ของเขา, เขาจะกลับไปพบอัลลอฮ์โดยที่พระองค์ทรงโกรธเขาอย่างยิ่ง”  อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า หลังจากนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็อ่านข้อความจากอัลกุรอานเพื่อยืนยันในเรื่องนี้ว่า “แท้จริงผู้ที่เอาสัญญาของอัลลอฮ์ และการสาบานของพวกเขาไปขายด้วยราคาอันเล็กน้อย......” จนกระทั่งสุดอายะห์ (ซูเราะห์อาลาอิมรอน อายะห์ที่ 77) 

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่63/ฮะดีษเลขที่ 0256

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยทุกกิจการขึ้นอยู่กับเจตนา



عَنْ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ـ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ – عَلى المِنْبَرِ يَقُوْلُ سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ  ‏"‏ إِنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ اِلَى دُنْيَا يُصِيْبُهَا أَوْاِلَى اِمْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ اِلَى مَا هَاجَرَ اِلَيْهِ


     ท่านอุมัร อิบนุลค๊อต๊อบ (ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงเมตตาท่านด้วย) ได้กล่าวขณะอยู่บนมิมบัรว่า

          "ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา และทุกคนจะได้รับตามที่เขาเจตนา ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขามีเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนทางดุนยา หรือเพื่อแต่งงานกับหญิงใด  การอพยพของเขาก็ได้รับผลดังที่เขาตั้งใจอพยพไปเพื่อสิ่งนั้น"
บุคคอรี/หมวดที่1/บทที่1/ฮะดีษเลขที่1


วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮืมุสลิม ว่าด้วยเมื่อได้ยินเสียงจากชัยตอนให้อะซาน


حَدَّثَنِي أُمَيَّةُ بْنُ بِسْطَامَ، حَدَّثَنَا يَزِيدُ، - يَعْنِي ابْنَ زُرَيْعٍ - حَدَّثَنَا رَوْحٌ، عَنْ سُهَيْلٍ، قَالَ أَرْسَلَنِي أَبِي إِلَى بَنِي حَارِثَةَ - قَالَ - وَمَعِي غُلاَمٌ لَنَا - أَوْ صَاحِبٌ لَنَا - فَنَادَاهُ مُنَادٍ مِنْ حَائِطٍ بِاسْمِهِ - قَالَ - وَأَشْرَفَ الَّذِي مَعِي عَلَى الْحَائِطِ فَلَمْ يَرَ شَيْئًا فَذَكَرْتُ ذَلِكَ لأَبِي فَقَالَ لَوْ شَعَرْتُ أَنَّكَ تَلْقَى هَذَا لَمْ أُرْسِلْكَ وَلَكِنْ إِذَا سَمِعْتَ صَوْتًا فَنَادِ بِالصَّلاَةِ فَإِنِّي سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ يُحَدِّثُ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ قَالَ ‏"‏ إِنَّ الشَّيْطَانَ إِذَا نُودِيَ بِالصَّلاَةِ وَلَّى وَلَهُ حُصَاصٌ ‏"





               ซุฮัยล์ รายงานว่า พ่อของฉันได้ส่งฉันไปที่ บนีฮาริซะห์ เขากล่าวว่า ฉันได้เดินทางไปพร้อมกับเด็กรับใช้ หรือเพื่อนของฉันร่วมเดินทางไปด้วย (ขณะเดินทางนั้น) มีคนเรียกชื่อของเขาอยู่ที่ข้างกำแพง  เขากล่าวว่า ฉันกับเขาก็ตรงเข้าไปที่ข้างกำแพง แต่ปรากฏว่าไม่พบสิ่งใดเลย ดังนั้น (เมื่อกลับจากการเดินทาง) ฉันได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อของฉันฟัง เขากล่าวว่า ถ้าฉันรู้ว่าเจ้าจะพบกับเหตุการณ์เช่นนั้น ฉันก็จะไม่ส่งเจ้าไปเป็นอันขาด แต่ว่าเมื่อเจ้าได้ยินเสียงเช่นนั้นอีก ก็จงอะซาน (เหมือนกับอะซานเพื่อละหมาด) เพราะฉันเคยได้ยินอบูฮุรอยเราะห์ เล่าให้ฟังจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงซัยฏอนนั้นเมื่อได้ยินเสียงอะซาน มันจะหนีไปอย่างหมดหวัง


มุสลิม/หมวดที่4/บทที่8/ฮะดีษเลขที่ 0755 

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮ์บุคอรีและมุสลิม ว่าด้วยโทษการไม่ชำระปัสสาวะและนินทาผู้อื่นในหลุมฝังศพ





عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ مَرَّ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بِقَبْرَيْنِ فَقَالَ ‏"‏ إِنَّهُمَا لَيُعَذَّبَانِ، وَمَا يُعَذَّبَانِ فِي كَبِيرٍ أَمَّا أَحَدُهُمَا فَكَانَ لاَ يَسْتَتِرُ مِنَ الْبَوْلِ، وَأَمَّا الآخَرُ فَكَانَ يَمْشِي بِالنَّمِيمَةِ ‏"‏‏.‏ ثُمَّ أَخَذَ جَرِيدَةً رَطْبَةً، فَشَقَّهَا نِصْفَيْنِ، فَغَرَزَ فِي كُلِّ قَبْرٍ وَاحِدَةً‏.‏ قَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ، لِمَ فَعَلْتَ هَذَا قَالَ ‏"‏ لَعَلَّهُ يُخَفَّفُ عَنْهُمَا مَا لَمْ يَيْبَسَا ‏"‏‏.‏ قَالَ ابْنُ الْمُثَنَّى وَحَدَّثَنَا وَكِيعٌ قَالَ حَدَّثَنَا الأَعْمَشُ قَالَ سَمِعْتُ مُجَاهِدًا مِثْلَهُ ‏"‏ يَسْتَتِرُ مِنْ بَوْلِهِ ‏" 




           อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ผ่านไประหว่างสองหลุมศพ ท่านกล่าวว่า “แท้จริงทั้งสองนี้กำลังถูกทรมาน และสาเหตุของการถูกทรมานนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โต (ในความรู้สึกของผู้คน) หนึ่งในนี้เขาไม่รอบคอบในการปัสสาวะและการชำระล้างปัสสาวะ ส่วนอีกหนึ่งรายนั้น เขาเที่ยวนินทาผู้อื่น”  หลังจากนั้นท่านก็เอาก้านอินทผลัมสดมาฉีกเป็นสองส่วนแล้วปักลงไปในแต่ละหลุมศพ พวกเขากล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไร ? ท่านตอบว่า “เพื่อว่าทั้งสองจะได้รับการผ่อนเบา (จากการทรมาน) ตราบใดที่ก้านอินผลัมยังไม่แห้ง”


บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่57/ฮะดีษเลขที่ 218


  หมายเหตุ  เป็นการกระทำเฉพาะท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งไม่มีรายงานว่าบรรดาศอฮาบะห์ได้นำวิธีการเช่นนี้ไปปฏิบัติแก่หลุมศพของผู้ใด


عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ مَرَّ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم عَلَى قَبْرَيْنِ فَقَالَ ‏"‏ أَمَا إِنَّهُمَا لَيُعَذَّبَانِ وَمَا يُعَذَّبَانِ فِي كَبِيرٍ أَمَّا أَحَدُهُمَا فَكَانَ يَمْشِي بِالنَّمِيمَةِ وَأَمَّا الآخَرُ فَكَانَ لاَ يَسْتَتِرُ مِنْ بَوْلِهِ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ فَدَعَا بِعَسِيبٍ رَطْبٍ فَشَقَّهُ بِاثْنَيْنِ ثُمَّ غَرَسَ عَلَى هَذَا وَاحِدًا وَعَلَى هَذَا وَاحِدًا ثُمَّ قَالَ ‏"‏ لَعَلَّهُ أَنْ يُخَفَّفَ عَنْهُمَا مَا لَمْ يَيْبَسَا ‏"‏





              อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เดินผ่านหลุมฝังศพสองหลุม แล้วกล่าวว่า ทั้งสองนี้กำลังโดนลงโทษ และเหตุของการถูกลงโทษนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ (ในสายตาของมนุษย์) โดยหนึ่งในสองนี้เดินนินทาชาวบ้าน, ส่วนอีกหนึ่งนั้นไม่รอบคอบในการปัสสาวะ (และในการชำระล้างปัสสาวะ) เขาเล่าต่อไปว่า ท่านได้เรียกให้นำเอาก้านอินทผลัมสดมาให้ แล้วท่านก็ฉีกเป็นสองซีก หลังจากนั้นท่านก็ปักแต่ละซีกบนหลุมศพทั้งสอง แล้วกล่าวว่า “หวังว่าทั้งสองจะได้รับการผ่อนเบาจากการลงโทษตราบใดที่ก้านอินทผลัมทั้งสองยังสดอยู่”


  
หมายเหตุ  เป็นการกระทำเฉพาะท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งไม่มีรายงานว่าบรรดาศอฮาบะห์ได้นำวิธีการเช่นนี้ไปปฏิบัติแก่หลุมศพของผู้ใด


มุสลิม/หมวดที่2/บทที่34/ฮะดีษเลขที่ 0575



حَدَّثَنِيهِ أَحْمَدُ بْنُ يُوسُفَ الأَزْدِيُّ، حَدَّثَنَا مُعَلَّى بْنُ أَسَدٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَاحِدِ، عَنْ سُلَيْمَانَ الأَعْمَشِ، بِهَذَا الإِسْنَادِ غَيْرَ أَنَّهُ قَالَ ‏"‏ وَكَانَ الآخَرُ لاَ يَسْتَنْزِهُ عَنِ الْبَوْلِ أَوْ مِنَ الْبَوْلِ ‏"‏  




          อะห์หมัด อิบนุ ยูซุบ อัลอัซดีย์ เล่าฮะดีษบทนี้ให้ฉันฟังว่า มุอัลลา อิบนุ อะสัด เล่าให้เราฟังว่า อับดุลวาฮิด เล่าให้เราฟังจาก สุไลมาน อัลอะอ์มัช ด้วยสายรายงานของฮะดีษบทเดียวกันนี้ นอกจากข้อความที่ว่า ท่านนนบีกล่าวว่า “อีกหลุมศพหนึ่งนั้นไม่ทำให้เขาสะอาดเกี่ยวกับปัสสาวะหรือจากปัสสาวะ” (ดูฮะดีษเลขที่ 0575)  
มุสลิม/หมวดที่2/บทที่34/ฮะดีษเลขที่ 0576

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยการสูดน้ำเข้าโพรงจมูกขณะอาบน้ำละหมาด



ذَكَرَهُ عُثْمَانُ وَعَبْدُ اللَّهِ بْنُ زَيْدٍ وَابْنُ عَبَّاسٍ ـ رضى الله عنهم ـ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم‏  


          อุสมาน, อับดุลลอฮ์ อิบนุ ซัยด์ และอิบนุอับบาส – ขอพระองค์อัลลอฮ์พอพระทัยพวกเขาด้วยเถิด – พวกเขารายงานฮะดีษบทนี้จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม




عَنِ الزُّهْرِيِّ، قَالَ أَخْبَرَنِي أَبُو إِدْرِيسَ، أَنَّهُ سَمِعَ أَبَا هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ قَالَ ‏"‏ مَنْ تَوَضَّأَ فَلْيَسْتَنْثِرْ، وَمَنِ اسْتَجْمَرَ فَلْيُوتِرْ ‏"‏‏ 


                อัสซุฮ์รีย์ รายงานว่าอบูอิดรีส บอกกับฉันว่า เขาได้ยินอบูฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านกล่าวว่า “ผู้ใดอาบน้ำละหมาดก็จงสูดน้ำเข้าโพรงจมูกแล้วสั่งออก และผู้ใดชำระ (ทำความสะอาดปัสสาวะ,อุจจาระ) ด้วยหิน (หรือสิ่งใกล้เคียง) ก็จงทำเป็นจำนวนคี่”


บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่25/ฮะดีษเลขที่ 161

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยการละหมาดขณะมีฮะดัษจะไม่ถูกตอบรับ



عَنْ هَمَّامِ بْنِ مُنَبِّهٍ، أَنَّهُ سَمِعَ أَبَا هُرَيْرَةَ، يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ لاَ تُقْبَلُ صَلاَةُ مَنْ أَحْدَثَ حَتَّى يَتَوَضَّأَ ‏"‏‏.‏ قَالَ رَجُلٌ مِنْ حَضْرَمَوْتَ مَا الْحَدَثُ يَا أَبَا هُرَيْرَةَ قَالَ فُسَاءٌ أَوْ ضُرَاطٌ‏.‏  




          ฮัมมาม อิบนุมุนับบิฮ์ รายงานว่า เขาได้ยินอบูฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “การละหมาดของผู้ที่มีฮะดัษจะไม่ถูกตอบรับ จนกว่าเขาจะอาบน้ำละหมาดใหม่” ชายคนหนึ่งจากฮัดรอเมาต์ถามว่า โอ้อบูฮุรอยเราะห์ คำว่าฮะดัษหมายถึงอะไรหรือ ? เขาตอบว่า (หนึ่งในนั้น) คือการผายลม



บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่2/ฮะดีษเลขที่ 135



 อ้างอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่  6954

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยผลการตักน้ำให้สุนัขที่หิวกระหายดื่มเข้าสวรรค์





عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ أَنَّ رَجُلاً رَأَى كَلْبًا يَأْكُلُ الثَّرَى مِنَ الْعَطَشِ، فَأَخَذَ الرَّجُلُ خُفَّهُ فَجَعَلَ يَغْرِفُ لَهُ بِهِ حَتَّى أَرْوَاهُ، فَشَكَرَ اللَّهُ لَهُ فَأَدْخَلَهُ الْجَنَّةَ ‏" 




                 อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มีชายผู้หนึ่งเขาเห็นสุนัขเลียรอยชื้นของพื้นดินเนื่องจากความกระหาย ชายผู้นั้นจึงถอดรองเท้าหุ้มส้นของเขาไปตักน้ำมาให้มันดื่มจนหมดกระหาย ดังนั้นอัลลอฮ์จึงชื่นชมเขาและให้เขาเข้าสวรรค์”


บุคคอรี/หมวดที่4/บทที่34/ฮะดีษเลขที่ 173

 อ้างอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่ 2363, 2466, 6009

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮืมุสลิม ว่าด้วยเมื่อสุนัขเลียภาชนะ






عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِذَا وَلَغَ الْكَلْبُ فِي إِنَاءِ أَحَدِكُمْ فَلْيُرِقْهُ ثُمَّ لْيَغْسِلْهُ سَبْعَ مِرَارٍ ‏"‏ 


                อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อสุนัขเลีย (อาหารใน) ภาชนะของพวกเจ้า ก็จงเทมันทิ้ง และล้างภาชนะนั้นเจ็ดครั้ง
มุสลิม/หมวดที่2/บทที่27/ฮะดีษเลขที่ 0546



عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِذَا شَرِبَ الْكَلْبُ فِي إِنَاءِ أَحَدِكُمْ فَلْيَغْسِلْهُ سَبْعَ مَرَّاتٍ ‏"‏ 




                 อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อสุนัขดื่ม (เครื่องดื่ม) ในภาชนะของพวกเจ้า ก็จงล้างภาชนะนั้นเจ็ดครั้ง”
มุสลิม/หมวดที่2/บทที่27/ฮะดีษเลขที่ 0548



عَنْ هَمَّامِ بْنِ مُنَبِّهٍ، قَالَ هَذَا مَا حَدَّثَنَا أَبُو هُرَيْرَةَ، عَنْ مُحَمَّدٍ، رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏.‏ فَذَكَرَ أَحَادِيثَ مِنْهَا وَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ طُهُورُ إِنَاءِ أَحَدِكُمْ إِذَا وَلَغَ الْكَلْبُ فِيهِ أَنْ يَغْسِلَهُ سَبْعَ مَرَّاتٍ ‏"‏  




                ฮัมมามา อิบนุ มุนับบิฮ์ รายงานว่า นี่คือสิ่งอบูฮุรอยเราะห์ เล่าให้เราฟัง จากมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วเขาก็รายงานฮะดีษหลายบทหนึ่งในนั้นก็คือ  ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “การทำความสะอาดภาชนะของพวกเจ้าเมื่อถูกสุนัขเลียก็คือการล้างภาชนะนั้นเจ็ดครั้ง”
มุสลิม/หมวดที่2/บทที่27/ฮะดีษเลขที่ 0550



عَنِ ابْنِ الْمُغَفَّلِ، قَالَ أَمَرَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِقَتْلِ الْكِلاَبِ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ مَا بَالُهُمْ وَبَالُ الْكِلاَبِ ‏"‏ ‏.‏ ثُمَّ رَخَّصَ فِي كَلْبِ الصَّيْدِ وَكَلْبِ الْغَنَمِ وَقَالَ ‏"‏ إِذَا وَلَغَ الْكَلْبُ فِي الإِنَاءِ فَاغْسِلُوهُ سَبْعَ مَرَّاتٍ وَعَفِّرُوهُ الثَّامِنَةَ فِي التُّرَابِ ‏"‏ 




                 อิบนุ มุฆ๊อฟฟัล รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ใช้ให้ฆ่าสุนัขจรจัด โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขากับสุนัขเกี่ยวข้องอะไรกัน” แต่ท่านก็อนุญาตให้เลี้ยงสุนัขที่ใช้ล่าสัตว์ และสุนัขที่ใช้ขับต้อนฝูงแกะ  และท่านกล่าวอีกว่า “เมื่อสุนัขเลียภาชนะ (หรืออาหารในภาชนะ) ของพวกเจ้าก็จงล้างภาชนะนั้นเจ็ดครั้ง และในครั้งที่แปดพวกเจ้าจงถูภาชนะนั้นด้วยกับดิน”

มุสลิม/หมวดที่2/บทที่27/ฮะดีษเลขที่ 0551





وَحَدَّثَنِيهِ يَحْيَى بْنُ حَبِيبٍ الْحَارِثِيُّ، حَدَّثَنَا خَالِدٌ يَعْنِي ابْنَ الْحَارِثِ، ح وَحَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ حَاتِمٍ، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ، ح وَحَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ الْوَلِيدِ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ، كُلُّهُمْ عَنْ شُعْبَةَ، فِي هَذَا الإِسْنَادِ بِمِثْلِهِ غَيْرَ أَنَّ فِي رِوَايَةِ يَحْيَى بْنِ سَعِيدٍ مِنَ الزِّيَادَةِ وَرَخَّصَ فِي كَلْبِ الْغَنَمِ وَالصَّيْدِ وَالزَّرْعِ وَلَيْسَ ذَكَرَ الزَّرْعَ فِي الرِّوَايَةِ غَيْرُ يَحْيَى 




                 ยะห์ยา อิบนุ ฮะบี๊บ อัลฮาริซีย์ เล่าฮะดีษบทนี้ให้ฉันฟังว่า คอลิด หมายถึง อิบนุลฮาริษ เล่าให้เราฟังว่า...
                มูฮัมหมัด อิบนุ ฮาติม เล่าให้ฉันฟัง ยะห์ยา อิบนุ สะอี๊ด เล่าให้เราฟังว่า......
                มูฮัมหมัด อิบนุ้ล วะลีด เล่าให้ฉันฟังว่า มูฮัมหมัด อิบนุ ยะอ์ฟัร  เล่าให้เราฟังว่า
                ทั้งหมดนี้นำมาจาก ซัวอ์บะห์ ด้วยสายรายงานของฮะดีษบทนี้ที่มีข้อความเช่นเดียวกัน นอกในรายงานของยะห์ยา อิบนุ สะอี๊ด มีข้อความเพิ่มเติมว่า “และท่านนบีอนุญาตให้เราเลี้ยงสุนัขสำหรับต้อนฝูงแกะ, และสุนัขสำหรับล่าสัตว์, และเพื่อการเกษตร” แต่ในสายรายงานอื่นนอกจากยะห์ยานั้นไม่ได้ระบุคำว่า “เพื่อการเกษตร”  (ดูฮะดีษเลขที่ 0551)


มุสลิม/หมวดที่2/บทที่27/ฮะดีษเลขที่ 0552

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะห์ ว่าการละหมาดด้วยการละหมาดอย่างดีและรุกัวอ์ตั้งเเริ่มจนจบอย่างดี





حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ سَعِيدِ بْنِ عَمْرِو بْنِ سَعِيدِ بْنِ الْعَاصِ، حَدَّثَنِي أَبِي، عَنْ أَبِيهِ، قَالَ كُنْتُ عِنْدَ عُثْمَانَ فَدَعَا بِطَهُورٍ فَقَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مَا مِنِ امْرِئٍ مُسْلِمٍ تَحْضُرُهُ صَلاَةٌ مَكْتُوبَةٌ فَيُحْسِنُ وُضُوءَهَا وَخُشُوعَهَا وَرُكُوعَهَا إِلاَّ كَانَتْ كَفَّارَةً لِمَا قَبْلَهَا مِنَ الذُّنُوبِ مَا لَمْ يُؤْتِ كَبِيرَةً وَذَلِكَ الدَّهْرَ كُلَّهُ ‏" 




           อิสฮาก อิบนุ สะอี๊ด บินอัมร์ บินสะอี๊ด บิน อัลอาศ เล่าให้เราฟังว่า พ่อของฉันเล่าให้ฉันฟัง จากพ่อของเขาว่า (ปู่ของผู้รายงานคือ สอี๊ด อิบนุ้ลอาศ) ขณะที่ฉันอยู่กับอุสมาน (อิบนิอัฟฟาน) เขาเรียกให้เอาน้ำทำน้ำละหมาดมาให้ แล้วกล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า  “ไม่มีมุสลิมคนใดที่เขามาละหมาดที่ถูกบัญญัติไว้ (ละหมาดฟัรดู) โดยเขาทำน้ำละหมาดอย่างดีงาม และรุกัวอ์ (ละหมาดตั้งแต่เริ่มจนจบ) อย่างประณีต นอกจากเขาจะได้รับการลบล้างความผิดก่อนหน้านั้นตลอดเวลา  ตราบใดที่เขาไม่ทำบาปใหญ่” (หมายถึงความผิดเล็กๆจะได้รับการอภัยโทษยกเว้นบาปใหญ่)
มุสลิม/หมวดที่2/บทที่4/ฮะดีษเลขที่ 0441

หะดิษเศาะเฮียะฮ์มุสลิม ว่าด้วยเมื่อชัยฏอนได้ยินเสียงอาซาน




حَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ، حَدَّثَنَا الْمُغِيرَةُ، - يَعْنِي الْحِزَامِيَّ - عَنْ أَبِي الزِّنَادِ، عَنِ الأَعْرَجِ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِذَا نُودِيَ لِلصَّلاَةِ أَدْبَرَ الشَّيْطَانُ لَهُ ضُرَاطٌ حَتَّى لاَ يَسْمَعَ التَّأْذِينَ فَإِذَا قُضِيَ التَّأْذِينُ أَقْبَلَ حَتَّى إِذَا ثُوِّبَ بِالصَّلاَةِ أَدْبَرَ حَتَّى إِذَا قُضِيَ التَّثْوِيبُ أَقْبَلَ حَتَّى يَخْطِرَ بَيْنَ الْمَرْءِ وَنَفْسِهِ يَقُولُ لَهُ اذْكُرْ كَذَا وَاذْكُرْ كَذَا لِمَا لَمْ يَكُنْ يَذْكُرُ مِنْ قَبْلُ حَتَّى يَظَلَّ الرَّجُلُ مَا يَدْرِي كَمْ صَلَّى ‏"‏
  




                  อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เมื่อเสียงอะซานเพื่อการละหมาดได้ประกาศขึ้น ชัยฏอนจะหนีเตลิดโดยผายลมไปด้วย จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงการอะซานนั้น แต่เมื่อสิ้นเสียงอะซานมันจะกลับมา และเมื่อมีการอิกอมะห์เพื่อละหมาด มันก็จะหนีเตลิดไป จนกระทั่งเสียงอิกอมะห์ได้จบลง มันก็จะหวนกลับมารบกวนผู้คนที่กำลังละหมาดโดยมันจะกรซิบให้เขาได้นึกถึงสิ่งนั้น,สิ่งนี้ ทั้งที่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย กระทั่งเขาเคลิ้มไปจนไม่รู้ว่าเขาได้ละหมาดไปจำนวนเท่าไหร่แล้ว


มุสลิม/หมวดที่4/บทที่8/ฮะดีษเลขที่ 0756

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮ์มุสลิม ว่าด้วยผลการขวยขวายของมนุษย์



عَنْ أَبِي مَالِكٍ الأَشْعَرِيِّ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ الطُّهُورُ شَطْرُ الإِيمَانِ وَالْحَمْدُ لِلَّهِ تَمْلأُ الْمِيزَانَ ‏.‏ وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَالْحَمْدُ لِلَّهِ تَمْلآنِ - أَوْ تَمْلأُ - مَا بَيْنَ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضِ وَالصَّلاَةُ نُورٌ وَالصَّدَقَةُ بُرْهَانٌ وَالصَّبْرُ ضِيَاءٌ وَالْقُرْآنُ حُجَّةٌ لَكَ أَوْ عَلَيْكَ كُلُّ النَّاسِ يَغْدُو فَبَائِعٌ نَفْسَهُ فَمُعْتِقُهَا أَوْ مُوبِقُهَا ‏"‏ 




                                 อบีมาลิก อัลอัชอารีย์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ความสะอาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของการศรัทธา (การสรรเสริญอัลลอฮ์โดยกล่าวคำว่า) อัลฮัมดุลิ้ลาฮ์ ทำให้ตราชั่ง (ภาคผลแห่งความดีในวันกิยามะห์) เต็ม และ (การกล่าวคำว่า) ซุบฮานั้ลลอฮ์ วัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ ทั้งสองประโยคนี้จะทำให้เต็มเปี่ยม (ความดีที่บกพร่องเพิ่มพูนเต็มตราชั่ง)  หรือเต็มฟากฟ้าและแผ่นดิน, การละหมาดเป็นรัศมี, การบริจาคเป็นหลักฐาน, การอดทนเป็นแสงสว่าง และอัลกุรอานเป็นหลักฐานให้ (ผู้อ่านและปฏิบัติตาม) หรือไม่ก็สาปแช่ง (ผู้อ่านแต่ฝ่าฝืน)  มนุษย์ทุกคนต่างก็ขวนขวาย เขายอมขายตัวของเขา ดังนั้นบางคนปลอดภัยและบางคนก็หายนะ”



มุสลิม/หมวดที่2/บทที่1/ฮะดีษเลขที่ 0432

หะดิษเศาะเฮียะฮ์มุสลิม ว่าด้วยผู้ซึ่งถ่ายอุจจาระบนทางสัญจรของผู้คน หรือใต้ต้นไม้ที่ให้ร่มเงาเป็นผู้ถูกสาแแช่ง





عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ اتَّقُوا اللَّعَّانَيْنِ ‏"‏ ‏.‏ قَالُوا وَمَا اللَّعَّانَانِ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الَّذِي يَتَخَلَّى فِي طَرِيقِ النَّاسِ أَوْ فِي ظِلِّهِمْ ‏"‏ 




                 อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “พวกเจ้าพึงระวังการสาปแช่งสองประการ”  พวกเขา (เหล่าศอฮาบะห์) กล่าวว่า อะไรคือสองประการที่ทำให้เป็นผู้ถูกสาปแช่งหรือ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า ผู้ซึ่งถ่ายอุจจาระบนทางสัญจรของผู้คน หรือใต้ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา”



มุสลิม/หมวดที่2/บทที่20/ฮะดีษเลขที่ 0516

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยพระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงบัญญัติการละหมาดทีละสองร๊อกอะห์



حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ يُوسُفَ، قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ، عَنْ صَالِحِ بْنِ كَيْسَانَ، عَنْ عُرْوَةَ بْنِ الزُّبَيْرِ، عَنْ عَائِشَةَ أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ، قَالَتْ ‏"‏ فَرَضَ اللَّهُ الصَّلاَةَ حِينَ فَرَضَهَا رَكْعَتَيْنِ رَكْعَتَيْنِ فِي الْحَضَرِ وَالسَّفَرِ، فَأُقِرَّتْ صَلاَةُ السَّفَرِ، وَزِيدَ فِي صَلاَةِ الْحَضَرِ ‏"
   


               อับดุลลอฮ์ อิบนุ ยูซุบ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า มาลิก บอกกับเรา จาก ศอและห์ บิน กัยซาน จาก อุรวะห์ บิน อัซซุบัยร์ จาก ท่านหญิงอาอิชะห์ มารดาแห่งปวงผู้ศรัทธา ได้กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ได้ทรงบัญญัติการละหมาด โดยทรงบัญญัติทีละสองร๊อกอะห์ สองร๊อกอะห์ ในสภวาะปกติ และการเดินทาง  โดยการละหมาดสำหรับการเดินทางยังถูกกำหนดเหมือนเดิม แต่ได้เพิ่ม (จำนวนร๊อกอะห์) ในการละหมาดยามปกติ


บุคอรี/หมวดที่ 8/บทที่ 1/ฮะดีษเลขที่ 350

หะดิษเศาะเฮียะห์มุสลิม ว่าด้วยผู้ที่เสียชีวิตโดยไม่นำสิ่งใดเป็นภาคีกับอัลลอฮ์ เขาได้เข้าสวรรค์



عَنِ الْمَعْرُورِ بْنِ سُوَيْدٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَبَا ذَرٍّ، يُحَدِّثُ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ قَالَ ‏"‏ أَتَانِي جِبْرِيلُ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - فَبَشَّرَنِي أَنَّهُ مَنْ مَاتَ مِنْ أُمَّتِكَ لاَ يُشْرِكُ بِاللَّهِ شَيْئًا دَخَلَ الْجَنَّةَ ‏"‏ ‏.‏ قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ ‏"‏




                 มะอ์รูร บิน ซุวัยด์ รายงานว่า ฉันเคยได้ยิน อบูซัรริน ได้กล่าวถึงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมว่า ท่านนบีกล่าวว่า “ญิบรีล อลัยฮิสสลาม มาหาฉันและจ้งข่าวดีกับฉันว่า ประชาชาตของท่านคนใดที่เสียชีวิตโดยไม่นำสิ่งใดเป็นภาคีกับอัลลอฮ์ เขาได้เข้าสวรรค์ ฉันถามว่า แม้เขาจะละเมิดประเวณีหรือลักขโมยเช่นนั้นหรือ เขาตอบว่า ใช่ ! แม้เขาจะละเมิดประเวณีและลักขโมย


มุสลิม/หมวดที่1/บทที่42/ฮะดีษเลขที่ 0171

หะดิษเศาะเฮียะห์มุสลิม ว่าด้วยไม่ละเมิดประเวณี ไม่ลักขโมย และไม่ดื่มน้ำเมาขณะเป็นผู้ศรัทธา



قَالَ أَبُو هُرَيْرَةَ إِنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ لاَ يَزْنِي الزَّانِي حِينَ يَزْنِي وَهُوَ مُؤْمِنٌ وَلاَ يَسْرِقُ السَّارِقُ حِينَ يَسْرِقُ وَهُوَ مُؤْمِنٌ وَلاَ يَشْرَبُ الْخَمْرَ حِينَ يَشْرَبُهَا وَهُوَ مُؤْمِنٌ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ ابْنُ شِهَابٍ فَأَخْبَرَنِي عَبْدُ الْمَلِكِ بْنُ أَبِي بَكْرِ بْنِ عَبْدِ الرَّحْمَنِ أَنَّ أَبَا بَكْرٍ كَانَ يُحَدِّثُهُمْ هَؤُلاَءِ عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ثُمَّ يَقُولُ وَكَانَ أَبُو هُرَيْرَةَ يُلْحِقُ مَعَهُنَّ ‏"‏ وَلاَ يَنْتَهِبُ نُهْبَةً ذَاتَ شَرَفٍ يَرْفَعُ النَّاسُ إِلَيْهِ فِيهَا أَبْصَارَهُمْ حِينَ يَنْتَهِبُهَا وَهُوَ مُؤْمِنٌ ‏"‏ ‏  



                อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ละเมิดประเวณีเขาจะไม่ละเมิดประเวณีในขณะที่เขาเป็นผู้ศรัทธา, ผู้ที่ลักขโมยเขาจะไม่ลักขโมยในขณะที่เขาเป็นผู้ศรัทธา,  และเขาจะไม่ดื่มน้ำเมาในขณะที่เขาดื่มนั้นเขาเป็นผู้ศรัทธา“ 


          อิบนุซิฮาบ กล่าวว่า อับดุลมาลิก อิบนุอบีบักร์ อิบนิอับดิรเราะห์มาน ได้เล่าให้ฉันฟังว่า  แท้จริงอบีบักร์ได้สนทนากับพวกเขาเกี่ยวกับฮะดีษบทนี้ จากอบีฮุรอยเราะห์  โดยกล่าวว่า  อบูฮุรอยเราะห์นั้นได้รายงานข้อความต่อท้ายว่า “ไม่มีโจรคนใดปล้นทรัพย์ที่มีค่าอย่างอุกอาจโดยไม่หวั่นเกรงสายตาผู้อื่น  ซึ่งในขณะที่เขากำลังปล้นอยู่นั้นเขาเป็นผู้ศรัทธา”


มุสลิม/หมวดที่1/บทที่26/ฮะดีษเลขที่ 0104





عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ لاَ يَزْنِي الزَّانِي حِينَ يَزْنِي وَهُوَ مُؤْمِنٌ وَلاَ يَسْرِقُ حِينَ يَسْرِقُ وَهُوَ مُؤْمِنٌ وَلاَ يَشْرَبُ الْخَمْرَ حِينَ يَشْرَبُهَا وَهُوَ مُؤْمِنٌ وَالتَّوْبَةُ مَعْرُوضَةٌ بَعْدُ ‏"‏ ‏.‏


                 อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ผู้ละเมิดประเวณีเขาจะไม่ละเมิดประเวณีในขณะเขาเป็นผู้ศรัทธา, เขาจะไม่ลักขโมยในขณะที่เขาลักขโมยเขาเป็นผู้ศรัทธา,  และเขาจะไม่ดื่มน้ำเมาในขณะที่เขาเป็นผู้ศรัทธา, แต่การสำนึกในความผิดจะถูกอ้อนวอนหลังจากนั้น (หลังจากกลับตัวแล้ว)"


มุสลิม/หมวดที่1/บทที่26/ฮะดีษเลขที่ 0109

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยให้สัตยาบันว่าไม่ตั้งภาคี ไม่ลักขโมย...




أَنَّ عُبَادَةَ بْنَ الصَّامِتِ ـ رضى الله عنه ـ وَكَانَ شَهِدَ بَدْرًا، وَهُوَ أَحَدُ النُّقَبَاءِ لَيْلَةَ الْعَقَبَةِ ـ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ وَحَوْلَهُ عِصَابَةٌ مِنْ أَصْحَابِهِ ‏"‏ بَايِعُونِي عَلَى أَنْ لاَ تُشْرِكُوا بِاللَّهِ شَيْئًا، وَلاَ تَسْرِقُوا، وَلاَ تَزْنُوا، وَلاَ تَقْتُلُوا أَوْلاَدَكُمْ، وَلاَ تَأْتُوا بِبُهْتَانٍ تَفْتَرُونَهُ بَيْنَ أَيْدِيكُمْ وَأَرْجُلِكُمْ، وَلاَ تَعْصُوا فِي مَعْرُوفٍ، فَمَنْ وَفَى مِنْكُمْ فَأَجْرُهُ عَلَى اللَّهِ، وَمَنْ أَصَابَ مِنْ ذَلِكَ شَيْئًا فَعُوقِبَ فِي الدُّنْيَا فَهُوَ كَفَّارَةٌ لَهُ، وَمَنْ أَصَابَ مِنْ ذَلِكَ شَيْئًا ثُمَّ سَتَرَهُ اللَّهُ، فَهُوَ إِلَى اللَّهِ إِنْ شَاءَ عَفَا عَنْهُ، وَإِنْ شَاءَ عَاقَبَهُ ‏"‏‏.‏ فَبَايَعْنَاهُ عَلَى ذَلِكَ‏.‏


  
            ท่านอุบาดะห์ บิน อัสศอมิต (ขอพระองค์อัลลออ์ทรงพอพระทัยต่อท่านด้วยเถิด) ได้เคยร่วมในสงครามบะดัร และเป็นแกนนำในคืน (ให้สัตยาบัน) ที่อะกอบะห์  (รายงานว่า)

             แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว (ข้อความต่อไปนี้) ขณะที่มีศอฮาบะห์กลุ่มหนึ่งอยู่รอบตัวท่าน  “เจ้าทั้งหลายจงให้สัตยาบันต่อฉันเถิด (1)ในการที่ท่านจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์อัลลออ์  (2) จะไม่ลักขโมย (3) ไม่ละเมิดประเวณี (4) จะไม่ฆ่าลูกๆ ของพวกเจ้า (5) ไม่กุข่าวเท็จที่พวกเจ้าอุปโลกน์มันขึ้นมาใส่ความผู้อื่น  (6) ไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง


                                และผู้ใดรักษาคำสัตยาบันได้อย่างครถ้วน รางวัลของเขาย่อมมี ณ.ที่อัลลออ์อย่างแน่นอน ส่วนผู้ใดละเมิดสัตยาบันข้อใด เขาจะถูกลงโทษโลกนี้ มันคือการไถ่โทษในความผิดของเขา แต่หากผู้ใดละเมิดสัตยาบันข้อใดแล้วอัลลอฮ์ได้ปกปิดให้แก่เขา ก็เป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์ หากพระองค์ทรงประสงค์ ก็จะทรงให้อภัยแก่เขา และหากพระองค์ทรงประสงค์ก็จะทรงลงโทษเขา” (อุบาดะห์กล่าวว่า) พวกเราจึงได้ให้สัตยาบันต่อท่านในเรื่องดังกล่าว


บุคคอรี/หมวดที่2/บทที่11/ฮะดีษเลขที่ 18

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะฮ์มุสลิม ว่าด้วยกลุ่มที่เชื่อฟังท่านนบีและกลุ่มที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีมิได้ทรงใช้





عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُودٍ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَا مِنْ نَبِيٍّ بَعَثَهُ اللَّهُ فِي أُمَّةٍ قَبْلِي إِلاَّ كَانَ لَهُ مِنْ أُمَّتِهِ حَوَارِيُّونَ وَأَصْحَابٌ يَأْخُذُونَ بِسُنَّتِهِ وَيَقْتَدُونَ بِأَمْرِهِ ثُمَّ إِنَّهَا تَخْلُفُ مِنْ بَعْدِهِمْ خُلُوفٌ يَقُولُونَ مَا لاَ يَفْعَلُونَ وَيَفْعَلُونَ مَا لاَ يُؤْمَرُونَ فَمَنْ جَاهَدَهُمْ بِيَدِهِ فَهُوَ مُؤْمِنٌ وَمَنْ جَاهَدَهُمْ بِلِسَانِهِ فَهُوَ مُؤْمِنٌ وَمَنْ جَاهَدَهُمْ بِقَلْبِهِ فَهُوَ مُؤْمِنٌ وَلَيْسَ وَرَاءَ ذَلِكَ مِنَ الإِيمَانِ حَبَّةُ خَرْدَلٍ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أَبُو رَافِعٍ فَحَدَّثْتُهُ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عُمَرَ فَأَنْكَرَهُ عَلَىَّ فَقَدِمَ ابْنُ مَسْعُودٍ فَنَزَلَ بِقَنَاةَ فَاسْتَتْبَعَنِي إِلَيْهِ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عُمَرَ يَعُودُهُ فَانْطَلَقْتُ مَعَهُ فَلَمَّا جَلَسْنَا سَأَلْتُ ابْنَ مَسْعُودٍ عَنْ هَذَا الْحَدِيثِ فَحَدَّثَنِيهِ كَمَا حَدَّثْتُهُ ابْنَ عُمَرَ ‏.‏ قَالَ صَالِحٌ وَقَدْ تُحُدِّثَ بِنَحْوِ ذَلِكَ عَنْ أَبِي رَافِعٍ ‏.‏  



          รายงานจากอับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ด ว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีนบีคนใดที่อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งเขามาก่อนหน้าฉัน นอกจากในประชาชาติของเขาจะมีผู้ให้การสนับสนุน และสาวกที่ยึดถือแนวทางของเขา, พวกเขาเหล่านั้นจะปฏิบัติตามและเชื่อฟังคำสั่งของนบี  แล้วก็จะมีคนอีกรุ่นหนึ่งในยุคถัดมาหลังจากพวกเขา,  โดยคนเหล่านั้นจะพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ, และจะทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ถูกใช้, ฉะนั้นใครที่ต่อต้านพวกแหล่านี้ด้วยมือของเขา, เขาคือผู้ศรัทธา, และใครที่ต่อต้านพวกเหล่านี้ด้วยลิ้น (คำพูด) ของพวกเขา, เขาก็คือผู้ศรัทธา, และผู้ใดที่ต่อต้านพวกเขาเหล่านั้นด้วยหัวใจของเขา, เขาก็คือผู้ศรัทธา แต่ถ้านอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ถือว่าไม่มีศรัทธาแม้เพียงเมล็ดผักกาด”   
             อบูรอเฟียะอ์ ได้กล่าวว่า ฉันได้เล่าฮะดีษบทนี้ให้ อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัรฟัง แต่เขาแย้งฉัน, ขณะนั้นอับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ดได้เดินทางมา (จากอิรัคมานครมะดีนะห์) ถึงพอดี แต่ท่านแวะพักที่หุบเขา (ด้านนอกเมือง)  และอับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร ต้องการให้ฉันตามเขาไปเพื่อพบปะเยี่ยมเยียนอิบนิมัสอู๊ดด้วย ฉันจึงไปหา ( อิบนิมัสอู๊ด) พร้อมกับ (อิบนิอุมัร) เมื่อเราไปถึง ฉันก็ถามอิบนิมัสอู๊ดเกี่ยวกับฮะดีษนี้  ซึ่งเขารายงานให้ฟังเช่นเดียวกับที่ฉันรายงานให้ อิบนิอุมัรฟังเช่นเดียวกัน


                 ซอและห์ได้กล่าวว่า ได้รับรายงานฮะดีษบทนี้เช่นเดียวกันจาก อบีรอเฟียะอ์ 

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่22/ฮะดีษเลขที่ 0081

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษเศาะเฮียะห์บุคอรี ว่าด้วยการทำก่อนหลังในการทำพิธีฮัจญ์




عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرِو بْنِ الْعَاصِ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَقَفَ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ بِمِنًى لِلنَّاسِ يَسْأَلُونَهُ، فَجَاءَهُ رَجُلٌ فَقَالَ لَمْ أَشْعُرْ فَحَلَقْتُ قَبْلَ أَنْ أَذْبَحَ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ اذْبَحْ وَلاَ حَرَجَ ‏"‏‏.‏ فَجَاءَ آخَرُ فَقَالَ لَمْ أَشْعُرْ، فَنَحَرْتُ قَبْلَ أَنْ أَرْمِيَ‏.‏ قَالَ ‏"‏ ارْمِ وَلاَ حَرَجَ ‏"‏‏.‏ فَمَا سُئِلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَنْ شَىْءٍ قُدِّمَ وَلاَ أُخِّرَ إِلاَّ قَالَ افْعَلْ وَلاَ حَرَجَ 



                อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ อิบนิอาศ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้หยุด (อูฐที่ท่านขี่) ขณะอยู่ที่มีนา ในการทำฮัจญ์ครั้งอำลาของท่านเพื่อบรรดาผู้คน  พวกเขาจะได้ถามท่าน (เกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีฮัจญ์อย่างสมบูรณ์)  มีชายผู้หนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวว่า  ฉันลืม !  ฉันจึงโกนศีรษะก่อนที่จะเชือด ท่านตอบว่า “เชือดเถอะ ไม่เป็นไร”  แล้วก็มีชายอีกคนหนึ่งมาหาแล้วถามว่า ฉันลืม ! ฉันจึงได้เชือดอูฐก่อนที่จะขว้างเสาหิน ท่านตอบว่า “ไปขว้างเสาหินเถอะ ไม่เป็นไร”
                ไม่ว่าท่านนบีจะถูกถามเกี่ยวกับเรื่องใด (ในการทำพิธีฮัจญ์) ว่าจะทำก่อนหรือหลัง ท่านก็จะบอกว่า ทำเถอะ ไม่เป็นไร 


บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่23/ฮะดีษเลขที่ 83

หะดิษเศาะเฮียะห์มุสลิม ว่าด้วยไม่มีการยกมือระหว่างสองสุญูด



حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى التَّمِيمِيُّ، وَسَعِيدُ بْنُ مَنْصُورٍ، وَأَبُو بَكْرِ بْنُ أَبِي شَيْبَةَ وَعَمْرٌو النَّاقِدُ وَزُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ وَابْنُ نُمَيْرٍ كُلُّهُمْ عَنْ سُفْيَانَ بْنِ عُيَيْنَةَ، - وَاللَّفْظُ لِيَحْيَى قَالَ أَخْبَرَنَا سُفْيَانُ بْنُ عُيَيْنَةَ، - عَنِ الزُّهْرِيِّ، عَنْ سَالِمٍ، عَنْ أَبِيهِ، قَالَ رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِذَا افْتَتَحَ الصَّلاَةَ رَفَعَ يَدَيْهِ حَتَّى يُحَاذِيَ مَنْكِبَيْهِ وَقَبْلَ أَنْ يَرْكَعَ وَإِذَا رَفَعَ مِنَ الرُّكُوعِ وَلاَ يَرْفَعُهُمَا بَيْنَ السَّجْدَتَيْنِ
  




                   ซาลิม ได้รายงานจากพ่อของเขาว่า ฉันเคยเห็นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เมื่อท่านเริ่มละหมาด ท่านจะยกมือทั้งสองของท่านจนกระทั่งเสมอบ่า และยกมือทั้งสองก่อนที่จะรุกัวอ์ และขณะเงยขึ้นจากรุกัวอ์ก็เช่นเดียวกัน แต่ท่านไม่ได้ยกมือระหว่างสองสุญูด


มุสลิม/หมวดที่4/บทที่9/ฮะดีษเลขที่ 0758






حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ رَافِعٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّزَّاقِ، أَخْبَرَنَا ابْنُ جُرَيْجٍ، حَدَّثَنِي ابْنُ شِهَابٍ، عَنْ سَالِمِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ، أَنَّ ابْنَ عُمَرَ، قَالَ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِذَا قَامَ لِلصَّلاَةِ رَفَعَ يَدَيْهِ حَتَّى تَكُونَا حَذْوَ مَنْكِبَيْهِ ثُمَّ كَبَّرَ فَإِذَا أَرَادَ أَنْ يَرْكَعَ فَعَلَ مِثْلَ ذَلِكَ وَإِذَا رَفَعَ مِنَ الرُّكُوعِ فَعَلَ مِثْلَ ذَلِكَ وَلاَ يَفْعَلُهُ حِينَ يَرْفَعُ رَأْسَهُ مِنَ السُّجُودِ
  




                 อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเมื่อท่านยืนละหมาด ท่านจะยกมือทั้งสองของท่านจนกระทั่งเสมอบ่าแล้วกล่าวตักบีร (อัลลอฮุอั๊กบัร) และเมื่อท่านต้องการรุกัวอ์ท่านก็จะยกมือเหมือนตอนตั๊กบีร และเมื่อท่านเงยขึ้นจากรุกัวอ์ ท่านก็จะยกมือเช่นเดียวกัน แต่ท่านจะไม่ยกมือทั้งสองของท่านขณะเงยขึ้นจากสุญูด



มุสลิม/หมวดที่4/บทที่9/ฮะดีษเลขที่ 0759

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยนั่งหลับไม่สนิทไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด


حَدَّثَنَا عُبَيْدُ اللَّهِ بْنُ مُعَاذٍ الْعَنْبَرِيُّ، حَدَّثَنَا أَبِي، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ، عَنْ عَبْدِ الْعَزِيزِ بْنِ صُهَيْبٍ، سَمِعَ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ، قَالَ أُقِيمَتِ الصَّلاَةُ وَالنَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يُنَاجِي رَجُلاً فَلَمْ يَزَلْ يُنَاجِيهِ حَتَّى نَامَ أَصْحَابُهُ ثُمَّ جَاءَ فَصَلَّى بِهِمْ  




                อนัส บินมาลิก รายงานว่า การละหมาดได้ถูกประกาศขึ้น (อิกอมะห์) ขณะที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังสนทนาลับอยู่กับชายคนหนึ่ง  ซึ่งท่านยังคงสนทนาต่อไปจนกระทั่ง ศอฮาบะห์ของท่านบางคนนั่งหลับ หลังจากนั้นท่านก็มานำละหมาดพวกเขา


มุสลิม/หมวดที่3/บทที่33/ฮะดีษเลขที่ 0732





حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ ابْنُ عُلَيَّةَ، ح وَحَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْوَارِثِ، كِلاَهُمَا عَنْ عَبْدِ الْعَزِيزِ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ أُقِيمَتِ الصَّلاَةُ وَرَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم نَجِيٌّ لِرَجُلٍ - وَفِي حَدِيثِ عَبْدِ الْوَارِثِ وَنَبِيُّ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يُنَاجِي الرَّجُلَ - فَمَا قَامَ إِلَى الصَّلاَةِ حَتَّى نَامَ الْقَوْمُ 




                 อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า การละหมาดได้ถูกประกาศขึ้น (อิกอมะห์) ขณะที่ท่านนบี กำลังสนทนาลับอยู่กับชายคนหนึ่ง ส่วนฮะดีษทางสายรายงานของ อับดุลวาริษ กล่าวว่า นบีของอัลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังสนทนาลับอยู่กับชายคนหนึ่ง ท่านจึงยังไม่ได้มานำละหมาด (เหล่าศอฮาบะห์ได้คอยท่าน) จนกระทั่งบางคนได้นั่งหลับ (หลังจากนั้นท่านมานำละหมาด และพวกเขาก็ละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาดใหม่) ดูฮะดีษเลขที่ 0732 – 0734


มุสลิม/หมวดที่3/บทที่33/ฮะดีษเลขที่ 0731

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำละหมาดเมื่อจะรับประทานอาหาร


وَحَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، أَخْبَرَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مُسْلِمٍ الطَّائِفِيُّ، عَنْ عَمْرِو بْنِ دِينَارٍ، عَنْ سَعِيدِ بْنِ الْحُوَيْرِثِ، مَوْلَى آلِ السَّائِبِ أَنَّهُ سَمِعَ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، قَالَ ذَهَبَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِلَى الْغَائِطِ فَلَمَّا جَاءَ قُدِّمَ لَهُ طَعَامٌ فَقِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ أَلاَ تَوَضَّأُ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ لِمَ أَلِلصَّلاَةِ ‏"‏  




                    อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ไปถ่ายทุกข์ เมื่อท่านกลับมา ก็มีผู้นำอาหารมาให้ท่านรับประทาน มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านจะไม่อาบน้ำละหมาด (ก่อนรับประทานอาหาร) หรือ ท่านกล่าวว่า ทำไมละ จะละหมาดหรืออย่างไร  (น้ำละหมาดจำเป็นสำหรับการละหมาดไม่ใช่หรือ)   

มุสลิม/หมวดที่3/บทที่31/ฮะดีษเลขที่ 0727

หะดิามุสลิม ว่าด้วยการกินเนื้ออูฐทำให้เสียน้ำละหมาด และการห้ามละหมาดในคอกอูฐ



حَدَّثَنَا أَبُو كَامِلٍ، فُضَيْلُ بْنُ حُسَيْنٍ الْجَحْدَرِيُّ حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ، عَنْ عُثْمَانَ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَوْهَبٍ، عَنْ جَعْفَرِ بْنِ أَبِي ثَوْرٍ، عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ، أَنَّ رَجُلاً، سَأَلَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَأَتَوَضَّأُ مِنْ لُحُومِ الْغَنَمِ قَالَ ‏"‏ إِنْ شِئْتَ فَتَوَضَّأْ وَإِنْ شِئْتَ فَلاَ تَوَضَّأْ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أَتَوَضَّأُ مِنْ لُحُومِ الإِبِلِ قَالَ ‏"‏ نَعَمْ فَتَوَضَّأْ مِنْ لُحُومِ الإِبِلِ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أُصَلِّي فِي مَرَابِضِ الْغَنَمِ قَالَ ‏"‏ نَعَمْ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ أُصَلِّي فِي مَبَارِكِ الإِبِلِ قَالَ ‏"‏ لاَ ‏"‏  




          ญาบิร อิบนุ ซะมุเราะห์ รายงานว่า มีชายผู้หนึ่งถามท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ฉันต้องอาบน้ำละหมาดหลังจากรับประทานเนื้อแพะหรือไม่ ท่านตอบว่า หากประสงค์จะอาบน้ำละหมาดก็ทำเถิด และหากไม่ประสงค์จะอาบน้ำละหมาดก็ไม่เป็นไร  เขาถามต่อไปว่า ฉันต้องอาบน้ำละหมาดหลังจากรับประทานเนื้ออูฐหรือไม่ ท่านตอบว่า ใช่ ต้องอาบน้ำละหมาดหลังจากรับประทานเนื้ออูฐ  เขาถามว่า  ฉันจะละหมาดในคอกแพะได้ไหม ท่านตอบว่า ได้  เขาถามอีกว่า ฉันจะละหมาดในคอกอูฐได้ไหม ท่านตอบว่า ไม่ได้


มุสลิม/หมวดที่3/บทที่25/ฮะดีษเลขที่ 0700

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด


حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ بْنِ قَعْنَبٍ، حَدَّثَنَا مَالِكٌ، عَنْ زَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ، عَنْ عَطَاءِ بْنِ يَسَارٍ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَكَلَ كَتِفَ شَاةٍ ثُمَّ صَلَّى وَلَمْ يَتَوَضَّأْ 




           อิบนุ อับบาส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เคยรับประทานขาหน้าของแกะ แล้วท่านก็ไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด



มุสลิม/หมวดที่3/บทที่24/ฮะดีษเลขที่ 0689







وَحَدَّثَنَا زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ، عَنْ هِشَامِ بْنِ عُرْوَةَ، أَخْبَرَنِي وَهْبُ بْنُ كَيْسَانَ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرِو بْنِ عَطَاءٍ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، ح وَحَدَّثَنِي الزُّهْرِيُّ، عَنْ عَلِيِّ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَبَّاسٍ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، ح وَحَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيٍّ، عَنْ أَبِيهِ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم أَكَلَ عَرْقًا - أَوْ لَحْمًا - ثُمَّ صَلَّى وَلَمْ يَتَوَضَّأْ وَلَمْ يَمَسَّ مَاءً  






          อิบนิ อับบาส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เคยรับประทานเนื้อติดกระดูก หรือเนื้อสัตว์ หลังจากนั้นท่านก็ไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด และไม่ได้สัมผัสน้ำเลยแม้แต่น้อย   


  มุสลิม/หมวดที่3/บทที่24/ฮะดีษเลขที่ 0690








وَحَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الصَّبَّاحِ، حَدَّثَنَا إِبْرَاهِيمُ بْنُ سَعْدٍ، حَدَّثَنَا الزُّهْرِيُّ، عَنْ جَعْفَرِ بْنِ عَمْرِو بْنِ أُمَيَّةَ الضَّمْرِيِّ، عَنْ أَبِيهِ، أَنَّهُ رَأَى رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَحْتَزُّ مِنْ كَتِفٍ يَأْكُلُ مِنْهَا ثُمَّ صَلَّى وَلَمْ يَتَوَضَّأْ  




           ญะอ์ฟัร อิบนุ อัมร์ อิบนุ อุมัยยะห์ อัดดอมรีย์ รายงานจากพ่อของเขาว่า เขาเคยเห็นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เฉือนขาหน้าของแกะแล้วก็รับประทานมัน หลังจากนั้นท่านก็ไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด


มุสลิม/หมวดที่3/บทที่24/ฮะดีษเลขที่ 0691


 
حَدَّثَنِي أَحْمَدُ بْنُ عِيسَى، حَدَّثَنَا ابْنُ وَهْبٍ، أَخْبَرَنِي عَمْرُو بْنُ الْحَارِثِ، عَنِ ابْنِ شِهَابٍ، عَنْ جَعْفَرِ بْنِ عَمْرِو بْنِ أُمَيَّةَ الضَّمْرِيِّ، عَنْ أَبِيهِ، قَالَ رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَحْتَزُّ مِنْ كَتِفِ شَاةٍ فَأَكَلَ مِنْهَا فَدُعِيَ إِلَى الصَّلاَةِ فَقَامَ وَطَرَحَ السِّكِّينَ وَصَلَّى وَلَمْ يَتَوَضَّأْ ‏.‏ قَالَ ابْنُ شِهَابٍ وَحَدَّثَنِي عَلِيُّ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَبَّاسٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِذَلِكَ  


          ญะอ์ฟัร อิบนุ อัมร์ อิบนุ อุมัยยะห์ อัดดอมรีย์ รายงานจากพ่อของเขาว่า  ฉันเคยเห็นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เฉือนขาหน้าของแกะและรับประทานมัน หลังนั้นเสียงอะซานแจ้งเวลาละหมาดก็ดังขึ้น ท่านวางมีด แล้วลุกขึ้นไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด
                อิบนุซิฮาบ กล่าวว่า อาลี อิบนุ อับดิลลาฮ์ อิบนิ อับบาส รายงานขจากพ่อของเขา (อิบนิอับบาส) จากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

มุสลิม/หมวดที่3/บทที่24/ฮะดีษเลขที่ 0692



 
قَالَ عَمْرٌو وَحَدَّثَنِي بُكَيْرُ بْنُ الأَشَجِّ، عَنْ كُرَيْبٍ، مَوْلَى ابْنِ عَبَّاسٍ عَنْ مَيْمُونَةَ، زَوْجِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم أَكَلَ عِنْدَهَا كَتِفًا ثُمَّ صَلَّى وَلَمْ يَتَوَضَّأْ  


                กุรัยบ์ คนรับใช้ของ อิบนิ อับบาส รายงานจากท่านหญิง มัยมูนะห์ คู่ครองของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เคยรับประทานขาหน้าของแกะที่บ้านของเธอ หลังจากนั้นท่านก็ไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด

มุสลิม/หมวดที่3/บทที่24/ฮะดีษเลขที่ 0693

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการละหมาดที่ถูกต้อง




حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ، عَنْ عُبَيْدِ اللَّهِ، قَالَ حَدَّثَنِي سَعِيدُ بْنُ أَبِي سَعِيدٍ، عَنْ أَبِيهِ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم دَخَلَ الْمَسْجِدَ فَدَخَلَ رَجُلٌ فَصَلَّى ثُمَّ جَاءَ فَسَلَّمَ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَرَدَّ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم السَّلاَمَ قَالَ ‏"‏ ارْجِعْ فَصَلِّ فَإِنَّكَ لَمْ تُصَلِّ ‏"‏ ‏.‏ فَرَجَعَ الرَّجُلُ فَصَلَّى كَمَا كَانَ صَلَّى ثُمَّ جَاءَ إِلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَسَلَّمَ عَلَيْهِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ وَعَلَيْكَ السَّلاَمُ ‏"‏ ‏.‏ ثُمَّ قَالَ ‏"‏ ارْجِعْ فَصَلِّ فَإِنَّكَ لَمْ تُصَلِّ ‏"‏ ‏.‏ حَتَّى فَعَلَ ذَلِكَ ثَلاَثَ مَرَّاتٍ فَقَالَ الرَّجُلُ وَالَّذِي بَعَثَكَ بِالْحَقِّ مَا أُحْسِنُ غَيْرَ هَذَا عَلِّمْنِي ‏.‏ قَالَ ‏"‏ إِذَا قُمْتَ إِلَى الصَّلاَةِ فَكَبِّرْ ثُمَّ اقْرَأْ مَا تَيَسَّرَ مَعَكَ مِنَ الْقُرْآنِ ثُمَّ ارْكَعْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ رَاكِعًا ثُمَّ ارْفَعْ حَتَّى تَعْتَدِلَ قَائِمًا ثُمَّ اسْجُدْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ سَاجِدًا ثُمَّ ارْفَعْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ جَالِسًا ثُمَّ افْعَلْ ذَلِكَ فِي صَلاَتِكَ كُلِّهَا ‏"‏  




             อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า  ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้าไปในมัสยิด และชายอีกคนหนึ่งก็ได้เข้าไปในมัสยิดด้วย โดยเขาได้ละหมาด (ตะฮียะตุ้ลมัสยิดก่อน) หลังจากนั้นเขาก็มาให้สลามกับท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็รับสลาม แล้วกล่าวว่าจ้าจงกลับไปละหมาดใหม่ เพราะเจ้ายังไม่ได้ละหมาด ชายคนดังกล่าวก็กลับไปละหมาดอีกครั้งเหมือนกับที่เขาได้ละหมาดก่อนหน้านี้ เมื่อเสร็จแล้วเขาก็มาหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วให้สลามกับท่านอีกครั้ง ท่านรอซูลุ้ลลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า วะอะลัยกัสสลาม แล้วกล่าวกับเขาว่า  จงกลับไปละหมาดใหม่ เพราะเจ้ายังไม่ได้ละหมาด จนกระทั่งเขาทำเช่นนั้นอยู่สามครั้ง  หลังจากนั้นชายผู้นี้ได้กล่าวว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงแต่งตั้งท่านมาด้วยสัจธรรม   สิ่งใดที่ฉันสามารถทำได้ดีกว่านี้ก็โปรดสอนฉันด้วยเถิด ท่านกล่าวว่า เมื่อเจ้ายืนละหมาดก็จงตั๊กบีร หลังจากนั้นก็อ่านอัลกุรอานง่ายๆที่เจ้าสามารถอ่านได้ แล้วรุกัวอ์  จนกระทั่งอยู่ในท่าที่สงบนิ่ง และเงยศีรษะขึ้นมาจนกระทั่งอยู่ในท่ายืนตรง แล้วสุญูดจนกระทั่งอยู่ในท่าสงบนิ่ง  และเงยขึ้นมาจนกระทั่งนั่งในท่าสงบนิ่ง  โดยทำเช่นนี้ในละหมาดของเจ้าทุกครั้ง


มุสลิม/หมวดที่4/บทที่11/ฮะดีษเลขที่ 0781

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการยกมือพร้อมตั๊กบีรในละหมาด



حَدَّثَنَا زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ، حَدَّثَنَا عَفَّانُ، حَدَّثَنَا هَمَّامٌ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ جُحَادَةَ، حَدَّثَنِي عَبْدُ الْجَبَّارِ بْنُ وَائِلٍ، عَنْ عَلْقَمَةَ بْنِ وَائِلٍ، وَمَوْلًى، لَهُمْ أَنَّهُمَا حَدَّثَاهُ عَنْ أَبِيهِ، وَائِلِ بْنِ حُجْرٍ، أَنَّهُ رَأَى النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم رَفَعَ يَدَيْهِ حِينَ دَخَلَ فِي الصَّلاَةِ كَبَّرَ - وَصَفَ هَمَّامٌ حِيَالَ أُذُنَيْهِ - ثُمَّ الْتَحَفَ بِثَوْبِهِ ثُمَّ وَضَعَ يَدَهُ الْيُمْنَى عَلَى الْيُسْرَى فَلَمَّا أَرَادَ أَنْ يَرْكَعَ أَخْرَجَ يَدَيْهِ مِنَ الثَّوْبِ ثُمَّ رَفَعَهُمَا ثُمَّ كَبَّرَ فَرَكَعَ فَلَمَّا قَالَ ‏"‏ سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ ‏"‏ ‏.‏ رَفَعَ يَدَيْهِ فَلَمَّا سَجَدَ سَجَدَ بَيْنَ كَفَّيْهِ
  




                  วาอิ้ล อิบนุฮุจริน รายงานว่า เขาเห็นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ยกมือทั้งสองของท่านขณะเข้าละหมาดโดยท่านกล่าวตั๊กบีร ส่วนในรายงานของฮัมมาม ได้สาธยายว่า ท่านยกมือขนานกับใบหู หลังจากนั้นท่านก็จะห่อมือด้วยเสื้อของท่าน แล้วเอามือขวาทับมือซ้าย และเมื่อท่านต้องการจะรุกัวอ์ ท่านก็จะเอามือออกมาจากเสื้อแล้วยกขึ้นพร้อมทั้งกล่าวตั๊กบีรแล้วจึงทำการรุกัวอ์ และเมื่อท่าน (เงยจากรุกัวอ์แล้ว) กล่าวคำว่า ซะมิอัลลอฮุลิมันฮะมิดะห์ ท่านก็จะยกมือทั้งสองขึ้นอีก และเมื่อท่านสุญูด (ก็จะวางมือทั้งสองบนพื้น) ท่านก้มสุญูดระหว่างมือทั้งสองของท่าน

มุสลิม/หมวดที่4/บทที่14/ฮะดีษเลขที่ 0792

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษบุคอรี ว่าด้วยกรณีลืมอาบน้ำญะนาบะห์



عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ أُقِيمَتِ الصَّلاَةُ، وَعُدِّلَتِ الصُّفُوفُ قِيَامًا، فَخَرَجَ إِلَيْنَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَلَمَّا قَامَ فِي مُصَلاَّهُ ذَكَرَ أَنَّهُ جُنُبٌ فَقَالَ لَنَا ‏:‏ ‏"‏ مَكَانَكُمْ ‏"‏‏.‏ ثُمَّ رَجَعَ فَاغْتَسَلَ، ثُمَّ خَرَجَ إِلَيْنَا وَرَأْسُهُ يَقْطُرُ، فَكَبَّرَ فَصَلَّيْنَا مَعَهُ  


                อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ครั้งหนึ่งหลังจากการอิกอมะห์เพื่อทำการละหมาดและแถวละหมาดได้ถูกจัดเรียบร้อยแล้ว ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมานำละหมาดพวกเรา แต่เมื่อท่านเข้าไปยืนในที่ละหมาดของท่าน, ท่านก็นึกขึ้นได้ว่า ท่านมีญุนุบ (ยังไม่ได้อาบน้ำญะนาบะห์) ดังนั้นท่านจึงกล่าวแก่พวกเราว่า “พวกเจ้าจงคอยอยู่กับที่สักครู่หนึ่ง” แล้วท่านก็กลับเข้าไปอาบน้ำญะนาบะห์ เมื่อเสร็จแล้วท่านก็ออกมายังพวกเรา โดยยังมีน้ำหยดจากศีรษะของท่าน, ท่านได้ตั๊กบีรนำละหมาดและพวกเราก็ละหมาดพร้อมกับท่าน

บุคคอรี/หมวดที่5/บทที่17/ฮะดีษเลขที่ 275

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการยกมือและกล่าวตั๊กบีรขณะยืนละหมาด



حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ رَافِعٍ، حَدَّثَنَا حُجَيْنٌ، - وَهُوَ ابْنُ الْمُثَنَّى - حَدَّثَنَا اللَّيْثُ، عَنْ عُقَيْلٍ، ح وَحَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ قُهْزَاذَ، حَدَّثَنَا سَلَمَةُ بْنُ سُلَيْمَانَ، أَخْبَرَنَا يُونُسُ، كِلاَهُمَا عَنِ الزُّهْرِيِّ، بِهَذَا الإِسْنَادِ كَمَا قَالَ ابْنُ جُرَيْجٍ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِذَا قَامَ لِلصَّلاَةِ رَفَعَ يَدَيْهِ حَتَّى تَكُونَا حَذْوَ مَنْكِبَيْهِ ثُمَّ كَبَّرَ
  




                  มูฮัมหมัด อิบนุรอเฟียะอ์ เล่าให้ฉันฟังว่า ฮุญัยญ์ หรืออิบนุมุซันนา เล่าให้เล่าฟังว่า อัลลัยซ์ เล่าให้เราฟังจาก อุกอยล์........
                มูฮัมหมัด อิบนุอับดิลลาฮ์ บินกุฮ์ซาซ เล่าให้ฉันฟังว่า ซาละมะห์ อิบนุสุไลมาน เล่าให้เราฟังว่า อับดุลลอฮ์ ได้บอกกับเราว่า ยูนุส บอกกับเราว่า.......
                ทั้งสองสายนี้นำมาจาก อัซซุฮ์รีย์ เช่นเดียวกับสายของอิบนุญุรอยญ์ (ดูฮะดีษเลขที่ 0759) ว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเมื่อท่านยืนละหมาด ท่านก็จะยกมือทั้งสองของท่านจนกระทั่งเสมอบ่า หลังจากนั้นท่านก็จะกล่าวตั๊กบีร (อัลลอฮุอั๊กบัร)

มุสลิม/หมวดที่4/บทที่9/ฮะดีษเลขที่ 0760

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยการอ่านบิสมิ้ลลาเสียงค่อยในละหมาด



حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مِهْرَانَ الرَّازِيُّ، حَدَّثَنَا الْوَلِيدُ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا الأَوْزَاعِيُّ، عَنْ عَبْدَةَ، أَنَّ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ، كَانَ يَجْهَرُ بِهَؤُلاَءِ الْكَلِمَاتِ يَقُولُ سُبْحَانَكَ اللَّهُمَّ وَبِحَمْدِكَ تَبَارَكَ اسْمُكَ وَتَعَالَى جَدُّكَ وَلاَ إِلَهَ غَيْرُكَ ‏.‏ وَعَنْ قَتَادَةَ أَنَّهُ كَتَبَ إِلَيْهِ يُخْبِرُهُ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ أَنَّهُ حَدَّثَهُ قَالَ صَلَّيْتُ خَلْفَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَأَبِي بَكْرٍ وَعُمَرَ وَعُثْمَانَ فَكَانُوا يَسْتَفْتِحُونَ بِـ ‏{‏ الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ‏}‏ لاَ يَذْكُرُونَ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ فِي أَوَّلِ قِرَاءَةٍ وَلاَ فِي آخِرِهَا



                   อับดะห์ รายงานว่า (เขาได้ทราบมาว่า) ท่านอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ได้อ่านออกเสียงดังด้วยถ้อยคำเหล่านี้คือ ซุบฮานะกัลลอฮุมม่าวะบิฮัมดิกะ ตะบารอกัสมุก่า วะตะอาลาญัดดุก่า วะล่าอิลาฮ่าฆ็อยรุก่า และรายงานจากก่อตาดะห์ว่า เขาได้เขียนจดหมายเพื่อแจ้งให้อับดะห์ทราบว่า ท่านอนัส บินมาลิก ได้เล่าให้เขาฟังโดยกล่าวว่า ฉันเคยละหมาดตามหลังท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม, ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,และท่านอุสมาน พวกเขาเหล่านี้เริ่มละหมาด (อ่านออกเสียง) ด้วยคำว่า อัลฮัมดุลิ้ลลาฮิร๊อบบิลอาละมีน โดยพวกเขาไม่ได้กล่าว บิสมิ้ลาฮิรเราะห์มานนิรร่อฮีม (ด้วยเสียงดัง) ไม่ว่าในแรกหรือในตอนท้ายของการอ่าน

มุสลิม/หมวดที่4/บทที่13/ฮะดีษเลขที่ 0788

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยสามจำพวกที่พระองค์อัลลอฮ์จะไม่สนทนากับเขาในวันกิยามะห์



أَبِي ذَرٍّ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ ثَلاَثَةٌ لاَ يُكَلِّمُهُمُ اللَّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ الْمَنَّانُ الَّذِي لاَ يُعْطِي شَيْئًا إِلاَّ مَنَّهُ وَالْمُنَفِّقُ سِلْعَتَهُ بِالْحَلِفِ الْفَاجِرِ وَالْمُسْبِلُ إِزَارَهُ ‏"‏ ‏.‏ 



                 รายงานจาก อบีซัรริน จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มีคนสามจำพวกที่พระองค์อัลลอฮ์จะไม่สนทนากับเขาในวันกิยามะห์ คือ ผู้ที่บริจาคโดยมีข้อผูกมัด (เพื่อหวังประโยชน์กลับคืนหรือเพื่อลำเลิกบุญคุณ) และผู้จำหน่ายสินค้าโดยสาบานเท็จ, และผู้สวมเสื้อผ้าลากพื้นเพื่อการโอ้อวด


มุสลิม/หมวดที่1/บทที่48/ฮะดีษเลขที่ 0193

หะดิษมุสลิม ว่าด้วยผู้ที่สู้รบกับมุสลิมถือว่าไม่ใช่มุสลิม



عَنْ إِيَاسِ بْنِ سَلَمَةَ، عَنْ أَبِيهِ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنْ سَلَّ عَلَيْنَا السَّيْفَ فَلَيْسَ مِنَّا ‏"‏ ‏.‏ 


           อบีอิยาส รายงานจาพ่อของเขา จากท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “มุสลิมคนใดชักดาบออกจากฝัก (เพื่อสู้รบกับมุสลิมด้วยกัน) เขาไม่ใช่พวกของเรา

มุสลิม/หมวดที่1/บทที่44/ฮะดีษเลขที่ 0180